Home > Fashion > Fashion Updates > พาทัวร์อาณาจักร Dior 30 Montaigne หมุดหมายที่สายแฟชั่นและบิวตี้ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต

หลังจากใช้เวลาปิดปรับปรุงรีโนเวตใหม่ถึง 2 ปี ในที่สุด อาณาจักร Dior 30 Montaigne บนหัวมุมถนนฌ็องเซลิเซ่ก็เปิดให้เข้าชมอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ โดยอาคารแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวางกว่า 10,000 ตารางเมตร ครอบคลุมตั้งแต่ฝั่งแฟชั่น ความงาม ไปจนถึงโซนคาเฟ่ และแกลอรี่ที่จัดแสดงประวัติศาสตร์ของดิออร์ วันนี้ HELLO! เลยไม่พลาดพาสายแฟชั่นและบิวตี้ไปทัวร์ชมทุกมุมกันแบบจุใจ

ย้อนประวัติศาสตร์กว่า 75 ปีของ อาณาจักร Dior 30 Montaigne

คริสเตียน ดิออร์ ตกหลุมรักเสน่ห์ของ hôtel particulier แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนหน้าอาคารสไตล์นีโอคลาสสิก รวมไปถึงบรรยากาศภายในที่ตกแต่งอย่างเรียบหรู ทั้งยังตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนฌ็องเซลิเซ่อันเปรียบเหมือนหัวใจของมหานครแฟชั่น ทำให้เขาตัดสินใจเปิดตัว Dior เป็นครั้งแรก ณ ที่แห่งนี้ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ปี 1946 และเพียงเวลาไม่กี่เดือนถัดมาชื่อของ Dior ก็เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกผ่านคอลเล็กชั่น New Look และน้ำหอม Miss Dior

ปีแล้วปีเล่าที่ คริสเตียน ดิออร์ ใช้เวลาเนรมิตอาคาร 30 Avenue Montaigne ให้กลายเป็นอาณาจักรในฝันของ Dior ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบูติกขายเครื่องประดับและของตกแต่งบ้านสไตล์ปารีเซียง หรือการจัดแฟชั่นโชว์ในร้านแสนโอ่อ่า ไปจนถึงการได้รับรองเซเลบริตี้คนดังมากมาย

ก้าวเข้าสู่ขวบปีที่ 76 ของอาคารสุดตระการตาแห่งนี้อย่างสมศักดิ์ศรี เมื่อแบรนด์ได้ทุ่มเทบูรณะตลอดสองปีให้ทุกตารางเมตรเต็มเปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์ ศิลปะ และความมีชีวิตชีวา อาจพูดได้ว่าอาคารประวัติศาสตร์แห่งนี้สามารถหลอมรวมทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน ผสมผสานความหรูหรา ความทันสมัย และความประณีตไว้ด้วยกันอย่างกลมกล่อม จึงไม่แปลกที่ อาณาจักร Dior 30 Mantaigne แห่งนี้จะกลายเป็นหมุดหมายแห่งใหม่ที่ไม่ว่าใครมาเยือนกรุงปารีสก็ต้องแวะมาเยี่ยมเยียน

มันต้องเป็น 30 Avenue Montaigne ฉันจะปักหลักอยู่ที่นี่และไม่ไปไหนอีก!

คริสเตียน ดิออร์

บูติกแห่งการเฉลิมฉลองศิลปะ

นับได้ว่าอาคาร 30 Avenue Montaigne แห่งนี้คือบูติกที่ใหญ่ที่สุดของ Dior มีครบครันทุกโซน ตั้งแต่รองเท้า เสื้อผ้า เครื่องประดับ กระเป๋าและสินค้าเครื่องหนัง โซนความงามและน้ำหอม ไปจนถึงของตกแต่งบ้าน ซึ่งพื้นที่ทั้งบูติกนี้ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง Peter Marino ผู้เลือกผสานสไตล์และยุคสมัยต่างๆ ของอาคารแห่งนี้เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพื้นไม้ปาร์เกต์แวร์ซายที่ชวนให้นึกถึงความคลาสสิกของยุคพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 หรืออย่างเครือเถาไม้และคานเปิดโล่งที่เป็นมกดกจากอดีต สร้างขึ้นจากวัสดุมากกว่าร้อยชนิด

ห้องโอต์กูตูร์ถือเป็นบริเวณไฮไลต์ของฝั่งแฟชั่นก็ว่าได้ เพราะเป็นพื้นที่ที่ใช้จัดแสดงผลงานชิ้นเอกมากมาย ตั้งแต่เสื้อผ้าที่ออกแบบตัดเย็บขึ้นอย่างประณีต ไปจนถึงงานศิลปะจากหลากหลายศิลปินดีไซเนอร์ อาทิ ใจกลางห้องโถงใหญ่ Rotonde มีการจัดตั้งผลงาน Bourrasque ที่ดูราวกับกำลังลอยเหมือนใบไม้ที่ปลิวไสวไร้น้ำหนัก

ถัดลงมายังชั้นล่างเป็นงานศิลปะสื่อผสมที่ฉายวิดีโอดอกไม้ขนาดกว้างเกือบสามเมตรที่กำลังสนทนากับสวน หรืออย่างผลงานของ Joël Andrianomearisoa ที่รังสรรค์ขึ้นจากผ้าพันอไหมของ Dior นอกจากนี้ยังมีภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบที่ตกแต่งห้องลองเสื้อ

ศิลปะในบูติกของ Dior ไม่ได้จบลงแค่ชิ้นผลงานหรือภาพวาดเพียงอย่างเดียว เพราะในรายละเอียดการตกแต่งภายในยังแอบซ่อนความประณีตงดงามไว้ให้แฟนๆ ได้ค้นหา อาทิ ลิฟต์ที่ประดับด้วยดอกไม้และใบไม้ปิดทอง ประตูบานเลื่อนโซนเครื่องประดับฝีมือการออกแบบของ Nancy Lorenz หรือบรรดาเฟอร์นิเจอร์ทั้งหลายที่เป็นผลงานของนักออกแบบชื่อดัง อย่าง Hans Olsen หรือ Gio Ponti

เอ็กซ์คลูซีฟแค่ที่ อาณาจักร Dior 30 Montaigne

แน่นอนว่านี่คือบ้านหลังใหญ่ที่สุดและพิเศษที่สุดของ Dior ก็ย่อมต้องมีไอเท็มพิเศษที่ไม่มีจำหน่ายที่อื่นเช่นกัน สำหรับสาวดิออร์ต้องไม่พลาดมาเก็บสะสมกระเป๋า Lady Dior ไซส์มินิที่ทำจากหนังจระเข้สีพาสเทล ประดับด้วยทองและอัญมณี หรือถ้าใครชอบขนาดคลาสสิกก็มีจำหน่ายเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่แสดงถึง 30 Montaigne เฉพาะอีกด้วย

สำหรับคุณผู้ชายเองก็มีกระเป๋าทรง Saddle และ Saddle Soft ที่มาในรูปแบบขนมิ้งค์ลวดลาย Dior Oblique แสนเก๋ รวมถึงยังได้นำเอารุ่นหนังจระเข้หิมาลัยสุดหายากมาจำหน่ายที่บูติกแห่งนี้อีกด้วย

ข้ามมายังฝั่งความงามเองก็ไม่น้อยหน้า เพราะที่อาณาจักร Dior 30 Montaigne แห่งนี้ได้วางจำหน่ายน้ำหอม Miss Dior รุ่นใหม่ล่าสุดที่มีเพียง 100 ขวดทั่วโลก มาพร้อมริบบิ้นพิเศษที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเดรสโอต์กูตูร์ หรืออีกหนึ่างน้ำหอมซิกเนเจอร์ประจำแบรนด์อย่าง J’adore เองก็มีการรังสรรค์ขวดขึ้นใหม่โดยช่างทำแก้วระดับปรมาจารย์ มีวางขายเพียง 1,000 ชิ้นทั่วโลก

ปิดท้ายด้วยการเพิ่มพื้นที่สำหรับการให้บริการทรีตเมนต์ Dior Prestige และ L’Or de Vie ซึ่งเป็นการให้บริการแบบตัวต่อตัว มีครบวงจรตั้งแต่สครับผิวหน้า นวดหน้า ไปจนถึงบริการแต่งหน้า นับเป็นสถานที่พักผ่อนที่สาวดิออร์จะอยากมาใช้วันหยุดผ่อนคลายที่นี่

ห้องโอต์กูตูร์ ไฮไลต์ของบูติกที่ต้องไปเยือน

ห้องจัดแสดงผลงานโอต์กูตูร์ (haure couture) ที่รวบรวบคอลเล็กชั่นต่างๆ จนถึงเสื้อผ้าโอต์กูตูร์ประจำฤดูใบไม้ร่วง/ฤดูหนาวปี 2020 เป็นพื้นที่ที่จารึกประวัติศาสตร์สำคัญของ Dior ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา ภายในห้องตกแต่งขอบมุมด้วยแผ่นไม้ ขณะที่พื้นไม้เป็นปาร์เกต์ลายเข็มทิศอันเป็นสัญลักษณ์ของ Dior อีกด้วย

นอกจากนี้ภายในอาคาร 30 Avenue Montaigne ยังเป็นที่ตั้งของ La Galerie Dior นิทรรศการที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อสืบสานจิตวิญญาณและความทรงจำของ Dior โดยได้จัดแสดงตั้งแต่ซิลลูเอตเสื้อผ้า ภาพสเก็ตช์ต้นฉบับ ไปจนถึงเอกสารสำคัญซึ่งหลายชิ้นเพิ่งถูกเปิดเผยต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก ทั้งยังมีเครื่องประดับและผลงานชิ้นเอกอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เดรสโอต์กูตูร์ Soirée Brillante จากปี 1955 หรือขวดน้ำหอม Miss Dior รุ่นปี 1952 ที่ทำเป็นรูปสุนัขของ คริสเตียน ดิออร์

รสชาติของ Dior

บอกลากันไปด้วยโซนสุดท้ายอย่าง Le Café Dior , Le Restaurant Monsieur Dior และ La Pâtisserie Dior ที่ล้วนสร้างสรรค์ขึ้นโดย Jean Imbert ซึ่งเขาตั้งใจที่จะนำเสนออาหารสมัยใหม่ ขี้เล่น และสร้างสรรค์ โดยที่ยังคงความพิถีพิถันในเรื่องรสชาติและวัตถุดิบตามสไตล์กูตูร์ไว้อย่างครบถ้วน

โดยร้านคาเฟ่จะเป็นอาหารสไตล์สตรีทฟู้ดที่ถูกนำมายกระดับและปรับให้เข้ากับสไตล์ของ Dior ขณะที่ฝั่งร้านอาหารจะเต็มไปด้วยพลังความสร้างสรรค์และความสง่างาม ทุกเมนูล้วนอุทิศให้กับศิลปะและประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นการนำผลงานชิ้นซิกเนเจอร์มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์เมนูแสนสวยงาม ไปจนถึงการนำเมนูคลาสสิกสูตรโปรดของ คริสเตียน ดิออร์ มาปรับโฉมใหม่อีกครั้ง

ปิดท้ายที่ร้านของหวานซึ่งโอบล้อมไปด้วยสวนกุหลาบแสนงดงาม ให้คุณได้ผ่อนคลายไปกับบรรยากาศหอมหวานของขนมฝรั่งเศสชื่อดังนานาชนิด นอกจากนี้ยังมีเมนูกาแฟหายากที่คัดสรรมาแล้วว่าจะช่วยส่งเสริมรสชาติของขนมหวานให้เอร็ดอร่อยมากยิ่งขึ้น

ข้อมูลและรูปภาพ : Courtesy of Dior

Never miss an update

Subscribe to our newsletter to get the latest updates.

No Thanks
You’re all set

Thank you for your subscription.