เคยเจอไหม? ปัญหาฉีดน้ำหอมไม่ติด เพิ่งจะก้าวเท้าออกจากห้องได้ไม่ทันไร น้ำหอมก็เริ่มจางจนไม่ได้กลิ่น พอไปเจอเพื่อนหรือไปงานไหนก็ไม่เคยมีใครทักกลิ่นน้ำหอมเลย ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปเพราะ HELLO! ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญของ CHANEL ในวันงานเปิดตัวน้ำหอม Bleu de Chanel ถึงทริคและทิปส์ที่หนุ่มๆ สาวๆ ควรรู้ไว้ ไม่ว่าจะเป็น ฉีดน้ำหอมตรงไหน อย่างไร ไปจนถึงเคล็ดลับเล็กน้อยที่จะทำให้ตัวหอมฟุ้งจนเดินไปไหนก็มีแต่คนเหลียวตาม
ทริคข้อที่ 1 : ผิวต้องชุ่มชื้น
ข้อสำคัญอันดับหนึ่งที่หลายคนไม่เคยรู้ คือการที่จะทำให้น้ำหอมติดทนนานและกลิ่นฟุ้งกระจายได้ดี จะต้องฉีดลงบน “ผิวที่ชุ่มชื้น” ดังนั้นทริคข้อแรกที่ HELLO! ขอแนะนำคือให้ทาโลชั่นที่ทำให้ผิวชุ่มชื้นยาวนานทันทีหลังจากอาบน้ำเสร็จ เพราะเป็นช่วงที่ผิวกำลังเปิดรับการบำรุงมากที่สุด
สิ่งที่ต้องระวัง คือบอดี้ครีมหรือโลชั่นที่ใช้ ไม่ควรมีกลิ่นแรงหรือกลิ่นที่ขัดกับน้ำหอมอย่างชัดเจน เนื่องจากจะทำให้กลิ่นผิดเพี้ยนหรือทำให้คนฉีดเวียนหัวได้

ทริคข้อที่ 2 : ฉีดบนเสื้อผ้า
ถึงแม้ว่าหลากหลายเสียงจะแนะนำให้ฉีดน้ำหอมลงบนผิวโดยตรง แต่ผู้เชี่ยวชาญของเราบอกว่า “สามารถฉีดลงบนเสื้อผ้าได้” ซึ่งข้อดีของการฉีดลงบนเสื้อผ้าคือเราจะได้กลิ่นน้ำหอมแบบเดียวกันกับที่ฉีดออกจากขวดลงบนกระดาษ เนื่องจากน้ำหอมไม่ได้ทำปฏิกิริยากับผิวและเหงื่อของเรา นอกจากนี้การฉีดน้ำหอมบริเวณชายกระโปรง แขนเสื้อ อกเสื้อ ยังช่วยให้เวลาขยับตัวกลิ่นจะฟุ้งกระจายได้ดีอีกด้วย
สิ่งที่ต้องระวัง คือการฉีดน้ำหอมที่มีความเข้มข้นสูง เช่น Perfume หรือ Eau de Perfume อาจทำให้ทิ้งคราบหรือทำให้เกิดรอยด่างบนเสื้อผ้าได้เช่นกัน เราจึงแนะนำให้เว้นระยะห่างก่อนฉีดประมาณช่วงแขน เพื่อให้หัวสเปรย์กระจายน้ำหอมออกเป็นละอองเล็กๆ ไม่ทิ้งคราบเป็นวง

ทริคข้อที่ 3 : ฉีดบนผิว ตรงจุดชีพจร
ทริคข้อที่สามคือสิ่งที่สายบิวตี้ทุกคนย่อมคุ้นเคยดี นั่นคือการฉีดน้ำหอมตรง “จุดชีพจร” สาเหตุก็เพราะว่าน้ำหอมจะติดทนนานและให้กลิ่นหอมฟุ้งกระจายเมื่อฉีดลงบนผิวที่ชุ่มชื้นและมีความร้อน ดังนั้นจุดชีพจรซึ่งมีเลือดไหลเวียนเยอะตลอดเวลาจึงกลายเป็นจุดที่ควรฉีดน้ำหอม เพราะเป็นบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกว่าบริเวณอื่นๆ
ตำแหน่งยอดฮิตที่ทุกคนชอบฉีดกันก็คือ กลางอก และต้นคอ ซึ่งสองบริเวณนี้ไม่เพียงแต่ทำให้คนที่อยู่ใกล้ได้กลิ่นเท่านั้น แต่คนที่ฉีดน้ำหอมเองก็จะยังได้กลิ่นไปอีกหลายชั่วโมงจนกว่าจมูกจะชินกลิ่นเลยทีเดียว ตำแหน่งถัดมาคือ ข้อมือ โดยทริคคือไม่ควรขยี้หรือถูวนเพราะจะทำให้น้ำหอมกลิ่นเปลี่ยน ควรแตะข้อมือเข้าหากันเพียงเบาๆ ก็พอ แต่ตำแหน่งข้อมือเป็นตำแหน่งที่กลิ่นจะจางไวที่สุด เนื่องจากการล้างมือบ่อยๆ
ส่วนตำแหน่งที่อาจจะไม่ได้ฮิตมากนัก แต่สามารถฉีดได้ และทำให้กลิ่นหอมฟุ้งกระจายได้ดีไม่แพ้กันก็คือ ข้อพับหลังเข่า การฉีดบริเวณนี้ควบคู่กับการฉีดน้ำหอมอีกเลเยอร์ซ้ำบนชายกระโปรงหรือกางเกง จะทำให้เวลาก้าวเดินผ่านใคร คนนั้นจะได้กลิ่นน้ำหอมฟุ้งกระจายขึ้นมาในอากาศอ่อนๆ

ทริคข้อที่ 4 : ฉีดบนเส้นผม
หากถามว่า ฉีดน้ำหอมตรงไหน แล้วติดทนมากที่สุด คงต้องขอตอบว่า “เส้นผม” สังเกตกันไหมว่าเวลาไปกินร้านอาหารปิ้งย่างหรือชาบู ถ้าไม่สระผมในวันนั้น กลิ่นจะติดเส้นผมไปอีกหลายวัน กับน้ำหอมเองก็เช่นกัน หากเราฉีดน้ำหอมใส่เส้นผมจะทำให้กลิ่นติดทนนานนับวันและฟุ้งกระจายทุกครั้งที่สะบัดผมสวยๆ เลยทีเดียว
สิ่งที่ต้องระวัง คือในน้ำหอมล้วนมีส่วนผสมของ เอทิลแอลกอฮอล์ (Ethyl Alcohol) อยู่ ซึ่งมีผลทำให้แห้ง หากฉีดตรงๆ ลงบนเส้นผมเหมือนเวลาฉีดลงบนผิว อาจทำร้ายเส้นผมได้ วิธีฉีดที่แนะนำจึงเป็นการสเปรย์ไปในอากาศเหนือหัวแล้วหมุนตัวหรือเดินผ่าน เพื่อให้ละอองน้ำหอมติดบนเส้นผม หรือจะฉีดลงบนหวีและนำมาแปรงเส้นผมก็ทำให้กลิ่นติดตั้งแต่โคนจรดปลายได้เช่นกัน

ทริคข้อที่ 5 : รู้จักประเภทน้ำหอม
ข้อสุดท้ายที่ผู้เชี่ยวชาญบอกกับเราพร้อมเสียงหัวเราะคือ “ถ้าอยากให้กลิ่นติดทน ก็ต้องพกไปเติม” แน่นอนว่าแม้จะทำตามทริคด้านบนทั้ง 4 ข้อครบถ้วนแล้ว แต่กลิ่นน้ำหอมก็ยังมีโอกาสจางหายได้ ขึ้นอยู่กับความติดทนของประเภทน้ำหอมด้วย ดังนั้นคุณจึงควรทำความรู้จักน้ำหอมของตัวเองเสียก่อนว่ากลิ่นโปรดที่ฉีดประจำอยู่นั้นเป็น Body Spray ที่มีความติดทนน้อยสุด มักอยู่เพียงไม่กี่ชั่วโมง , Eau de Toilette (EDT) ที่มีความเข้มข้นขึ้นมา , Eau de Perfume (EDP) ที่มีความเข้มข้นสูง ให้กลิ่นติดทนนาน แต่ไม่เท่าเพอร์ฟูม หรือเป็น Perfume ซึ่งเข้มข้นเหมือนหัวน้ำหอม ติดทนนาน แต่ท็อปโน๊ตอาจมีกลิ่นฉุนแรงทำให้บางคนไม่เลือกใช้
เมื่อรู้จักประเภทของน้ำหอมที่เราใช้ประจำแล้ว ก็จะสามารถประเมินได้ว่าวันนี้จำเป็นต้องพกน้ำหอมไว้เติมระหว่างวันหรือไม่ โดยส่วนมากแล้ว Body Spray และ EDT มักถูกใช้เป็นน้ำหอมสำหรับงานกลางวัน เพราะกลิ่นจะมีความอ่อนเบาและติดทนน้อยกว่า ขณะที่ EDP และ Perfume มักถูกใช้ในโอกาสงานกลางคืน เนื่องจากกลิ่นที่เข้มข้น ลึกล้ำ และติดทนนานนั่นเอง

ข้อมูลและรูปภาพ : Courtesy of the brands