‘หมอหลิน-พญ.นิโลบล เจริญวุฒิ’ ชวนรู้จัก ‘โบเยอรมัน’ บอกลาอาการดื้อโบ ยิ่งฉีดเร็วยิ่งหน้าเด็กนาน
หนึ่งในเทรนด์ความงามที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาก็คือ “โบทูลินั่มท็อกซิน” (Botulinum toxin) และช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เหล่าสายคลินิกก็เริ่มหาความรู้เกี่ยวกับตัวยาโบทูลินั่มท็อกซินลงลึกมากขึ้น ทำให้ชื่อของโบเกาหลี โบอเมริกา หรือโบยุโรป เริ่มเป็นที่คุ้นหูกันมากขึ้น แต่เชื่อเลยว่าปี 2022 นี้ คงไม่เคยมีใครไม่ได้ยินชื่อ โบเยอรมัน ที่มาพร้อมฉายาโบเจนใหม่ อย่างแน่นอน
สาเหตุที่โบเยอรมันถูกเรียกว่าโบเจนใหม่ จะเป็นเพราะอะไร วันนี้เราจะพามาหาคำตอบผ่านบทสัมภาษณ์แบบเจาะลึกกับ ‘หมอหลิน-พญ.นิโลบล เจริญวุฒิ’ แห่ง The Demis Clinic ใน HELLO! Beauty & Health Digital Cover ฉบับเดือนธันวาคมกัน

โบเยอรมัน ชื่อที่ได้ยินบ่อยที่สุดในปี 2022
เมื่อถามถึงเทรนด์ความงามปี 2022 คุณหมอหลินให้คำตอบกับเราว่า “หมอขอแบ่งเทรนด์การทำสวยออกเป็น 2 แบบ อันแรกคือ Surgery ช่วงที่ผ่านมาคนเริ่มกล้าทำศัลยกรรมกันมากขึ้น ปัญหารูปหน้าที่บริเวณไหนที่ไม่พึงพอใจ คนก็กล้าทำศัลยกรรมเพื่อแก้ไขมากขึ้น ส่วนฝั่ง Non-Surgery จะเน้นไปที่การดูแลตัวเองให้ดูอ่อนกว่าวัยอย่างเป็นธรรมชาติ และตัวช่วยหลักที่คนทุกเพศทุกวัยพึ่งพาก็คือการฉีดโบ”
นอกจากนี้คุณหมอยังได้แจกแจงเพิ่มถึงเทรนด์อื่นที่มาแรงไม่แพ้กัน อย่างเช่น กลุ่มเลเซอร์ยกกระชับผิว (อาทิ Ulthera) , กลุ่มเลเซอร์หน้าใส (อาทิ Picosecond Laser) และกลุ่มสารเติมเต็ม หรือชื่อที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีอย่างการฉีดฟิลเลอร์นั่นเอง ซึ่งทุกเทรนด์ล้วนมีเป้าประสงค์มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน คือช่วยให้คนไข้ดูอ่อนกว่าวัย
เทรนด์ปี 2023 จะเป็นอย่างไร ?
“ส่วนเทรนด์การทำสวยในปี 2023 หมอมองว่ามันจะยังต่อเนื่องจากปีนี้อยู่ แต่คนไข้จะหันมาใส่ใจกับการรักษามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกคลินิก การเลือกแพทย์ที่ทำการรักษา ไปจนถึงการศึกษาตัวยาและนวัตกรรมที่นำมาใช้ เพราะคนรุ่นใหม่จะให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย”
ทำให้เรามั่นใจว่า โบเยอรมัน ซึ่งได้รับฉายาว่าโบเจนใหม่นี้ จะต้องได้รับความนิยมยิงยาวไปจนถึงปี 2023 อย่างแน่นอน เนื่องด้วยตัวยาที่เป็นโบทูลินั่มท็อกซินบริสุทธิ์ มีการวิจัยยืนยันว่าสามารถป้องกันการดื้อยาได้ดีกว่ารุ่นอื่นๆ ทั้งยังให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานยิ่งขึ้น จึงตอบโจทย์คนเจนใหม่มากที่สุดในขณะนี้

โบเยอรมัน vs โบอื่นๆ
หลายคนอาจจะยังไม่เห็นภาพชัดเจนเมื่อพูดว่าโบเยอรมันเป็นโบเจนใหม่ เราเลยขอให้คุณหมอหลินช่วยเปรียบเทียบข้อดีของโบเยอรมันกับโบรุ่นอื่นๆ ให้ฟังกันแบบชัดๆ เพื่อที่ทุกคนจะได้เข้าใจกันอย่างทะลุปรุโปร่งมากขึ้น
- การสกัดของโบเยอรมัน ผ่านการสกัดหลายขั้นตอนมากกว่าโบทูลินั่มท็อกซินรุ่นเดิมๆ จึงทำให้ไม่มีโปรตีนเจือปน
- ความบริสุทธิ์ที่ไม่มีสิ่งใดเจือปน 100% ทำให้ลดโอกาสการดื้อยา (อาการดื้อยา หมายถึง ฉีดโบรุ่นเดิม ปริมาณเท่าเดิม แล้วไม่เห็นผล หรือเห็นผลลัพธ์น้อยลง)
- ผลลัพธ์ในการลดริ้วรอย จะดูเป็นธรรมชาติมากกว่า และผลลัพธ์อยู่ยาวนานกว่า
คุณหมอหลินยังได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า การฉีดโบ ช่วยแก้ปัญหาใดได้บ้าง “สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าและวัยที่เพิ่มขึ้นได้ดี สามารถปรับรูปหน้า ไม่ว่าจะเป็นการลดขนาดกราม หรือยกกระชับใบหน้า (Lifting) ก็ทำได้เช่นกัน”
เทคนิคการฉีดโบเยอรมันของหมอหลิน
เมื่อถามถึงเทคนิคเฉพาะตัวของคุณหมอหลินแห่ง The Demis Clinic แล้ว คุณหมอให้คำตอบเรียบง่ายพร้อมกับรอยยิ้มว่า “จริงๆ แล้วเทคนิคของหมอคือยึดความต้องการคนไข้เป็นศูนย์กลาง เราจะต้องทำความเข้าใจคนไข้ก่อนทำการรักษา เช่น คนไข้เข้ามาบอกว่าจะฉีดโบลดริ้วรอย เราก็ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าคนไข้อยากให้ผิวหน้าตึง ไม่มีริ้วรอยเลย หรืออยากให้ลดริ้วรอยให้ดูน้อยลง ยังเป็นธรรมชาติตามวัย หรือคนไข้เข้ามาบอกว่าจะฉีดโบลดกราม เราก็ต้องถามว่าอยากปรับรูปหน้าให้เล็กลง หรือแค่อยากให้กรอบหน้าชัดขึ้น”
หลังจากผ่านขั้นตอนการทำความเข้าใจกับคนไข้ไปแล้ว คุณหมอหลินก็จะสามารถประเมินได้ว่าควรทำการรักษาอย่างไร ซึ่งขั้นตอนการวางแผนนั้นอาศัยประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และความละเอียดเป็นอย่างมาก เพราะต้องวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำว่าจะฉีดใบหน้าบริเวณไหนบ้าง และใช้ปริมาณยาเท่าไหร่ในแต่ละจุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่คนไข้ต้องการ

นิยามคำว่าสวยประกอบไปด้วย การมีผิวแข็งแรงสุขภาพดี และมั่นใจในแบบที่ตัวเองเป็น บางคนอาจจะชอบที่ตัวเองกรอบหน้าชัด หรือบางคนอาจจะชอบรูปหน้าเรียวกระชับ ไม่จำเป็นต้องสวยเหมือนใคร ซึ่งความพึงพอใจในตัวเองเหล่านี้ จะทำให้ชีวิตในแต่ละด้านดีขึ้นได้อีกด้วย
หมอหลิน – พญ.นิโลบล เจริญวุฒิ
3 สิ่งที่คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับการฉีดโบ
ไม่ว่านวัตกรรมนั้นจะอยู่คู่แวดวงความงามมานานเท่าใด เราก็มั่นใจว่ายังคงมีคนที่เข้าใจผิด หรือมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับนวัตกรรมนั้นอยู่ บทสัมภาษณ์นี้จึงเปรียบเหมือนโอกาสทองที่เราได้คว้าตัวผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาช่วยไขข้อข้องใจกันให้กระจ่าง ซึ่งคุณหมอหลินก็ได้ลิสต์ออกมาให้เราทั้งหมด 3 ข้อด้วยกัน
ข้อแรกคือ “ฉีดโบแล้วหน้าแข็ง ไม่เป็นธรรมชาติ” คุณหมอหลินอธิบายว่าเมื่อก่อนอาจจะเจอเคสแบบนี้เยอะ เหตุเนื่องมาจากในยุคแรกของการเริ่มฉีดโบ คุณหมอเกือบทุกท่านล้วนต้องไปเทรนการฉีดจากต่างประเทศ ซึ่งเทคนิคการฉีดลดริ้วรอยของฝั่งตะวันตกจะใช้โดสยามากกว่า เพราะปัญหาริ้วรอยร่องลึกของคนอเมริกาหรือยุโรปจะเยอะกว่าคนเอเชีย ทำให้เมื่อนำเทคนิคนั้นมาใช้กับคนเอเชีย ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะตึงเกินไป แข็งเกินไป ดูไม่เป็นธรรมชาติ
แต่ปัจจุบันคุณหมอได้ปรับเทคนิคการฉีด ตั้งแต่วิธีการลงเข็ม ไปจนถึงการคำนวณปริมาณยา เพื่อให้เข้ากับปัญหาของคนเอเชียมากขึ้นแล้ว ดังนั้นปัญหาว่าฉีดโบมาแล้วขยับหน้าไม่ได้ หน้าตึง ไม่เป็นธรรมชาติ จึงแทบไม่เกิดขึ้นแล้ว
ข้อสองคือ “ฉีดโบแล้วสะสมตกค้างในร่างกาย” อันนี้คุณหมอหลินบอกเลยว่าโบทูลินั่มท็อกซินไม่ได้สะสมภายในร่างกาย เพียงแต่เมื่อฉีดเข้าไปแล้ว ฤทธิ์ของตัวยาจะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว ซึ่งกว่ากล้ามเนื้อจะกลับมาทำงานเท่าเดิมนั้นต้องใช้เวลา 4-6 เดือนเป็นอย่างน้อย เพราะฉะนั้นใครที่กังวลว่าฉีดแล้วจะตกค้างหรือสะสมในร่างกาย ขอให้สบายใจได้
และข้อสุดท้ายที่เข้าใจผิดกันมากที่สุดคือ “ไม่ต้องรีบ รอให้แก่ก่อนค่อยฉีดโบ” คุณหมอหลินบอกว่านี่เป็นหนึ่งในความเข้าใจผิดที่มีมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ซึ่งอันที่จริงแล้วโบทูลินั่มท็อกซินคือการรักษาริ้วรอยระยะเริ่มต้น ไม่รุนแรงมาก ควรเริ่มฉีดตั้งแต่ตอนที่เกิดริ้วรอยบางๆ ไม่ควรรอจนปัญหาเห็นชัด จะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดร่องลึกชัดเจนได้ดีที่สุด โดยคุณหมอหลินย้ำอีกครั้งว่า “ไม่ต้องรอจนแก่ ก็สามารถฉีดได้เลย” เป็นการตอกย้ำความเชื่อของเราว่า การฉีดโบตั้งแต่ระยะแรกที่เห็นสัญญาณแห่งวัย จะเป็นการป้องกันและล็อคหน้าเด็กไว้ได้ดีที่สุด
ได้ฟังแบบนี้แล้ว ใครที่เริ่มเห็นริ้วรอยบนใบหน้า ต้องรีบทำนัดเข้าไปปรึกษาคุณหมอเพื่อฉีด โบเยอรมัน กันแล้ว!