Home > Beauty & Health > Health & Wellness > “เคที ไพเพอร์” จากเหยื่อสาดน้ำกรดสู่ชีวิตใหม่และเคล็ดลับเรียกความมั่นใจกลับคืนมา

เมื่อนางแบบสาว เคที ไพเพอร์ถูกสาดด้วยกรดซัลฟิวริกตอนอายุ 24 ปี ในตอนนั้นเธอคิดว่าชีวิตจบสิ้นลงแน่แล้ว ทั้งอาชีพการงาน สุขภาพและชีวิตในวงสังคมที่ต้องหยุดชะงัก เพื่อให้เจ้าตัวหลบไปรักษาตัวด้วยความทุกข์ทรมานในโรงพยาบาล เคทีคิดว่าคงไม่มีใครมองเห็นเธอเป็นอื่นใดได้อีกนอกจากเหยื่อน้ำกรด

ทว่าให้หลังจากเหตุการณ์ร้ายครั้งนั้นเพียงหนึ่งปี เคทีก็ตัดสินใจออกมาเปิดเผยเรื่องราวของเธอในสารคดี Katie: My Beautiful Face นับแต่นั้นเธอลุกขึ้นสู้จนประสบความสำเร็จเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์และนักเขียน รวมทั้งก่อตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องทุกข์ทรมานจากแผลไหม้หรือแผลเป็น เวลานี้เคทีแต่งงานและมีลูกสาวหนึ่งคนแล้วด้วย ดังนั้นจะมีใครเหมาะจะมาบอกเล่าวิธีการพิชิตเป้าหมายชีวิตให้สำเร็จมากไปกว่าเคทีวัย 33 ปีคนนี้ไปได้

“ความมั่นใจที่ลึกซึ้งถึงแก่นจริงๆ เป็นสิ่งมหัศจรรย์” เคทีกล่าว เธอบอกเล่าประสบการณ์เอาไว้ในหนังสือแนวพัฒนาตนเองเล่มใหม่ Confidence: TheSecret “มันเป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะมีให้มากๆ ในตัวเองแต่มันกลับเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่คนจำนวนไม่น้อยยังพยายามมองหาอยู่”

การขาดความมั่นใจอาจสร้างผลกระทบด้านร้ายต่อชีวิตได้ในหลายๆ ทาง ตั้งแต่การสัมภาษณ์งานไปจนถึงการคบหาคู่ชีวิต สำหรับเคทีแล้ว ความมั่นใจของเธอเป็นผลพวงมาจากการเดินทางของเธอที่ได้ฝ่าฟันอุปสรรคนานัปประการจนกลายมาเป็นรากฐานการค้นพบความสุขในตัวเองได้ในที่สุด

“ความมั่นใจเป็นเรื่องของการพึงพอใจและการยอมรับตัวเอง รู้สึกสบายใจกับตัวเองและรู้ว่าในตัวยังมีอะไรดีๆ อยู่อีกมากที่สามารถทำได้ไม่ว่าผู้คนรอบข้างจะพูดอย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องของการให้กำลังใจตัวเอง สามารถที่จะผลักดันตัวเองให้ก้าวพ้นสิ่งที่คุ้นเคยและรู้สึกปลอดภัยออกไป ขณะเดียวกันก็ไม่โบยตีตัวเองหากว่ามีบางอย่างผิดพลาด”

และนี่คือเคล็ดลับและคำแนะนำวิธีสร้างความมั่นใจในตัวเองจากเคที

เดินทีละก้าว

“สำหรับฉันแล้วความมั่นใจมาจากช่วงเวลาเฉพาะตัว อย่างครั้งแรกที่ฉันกล้าพอที่จะก้าวออกจากบ้านหลังออกจากโรงพยาบาล ครั้งแรกที่ฉันกล้าจะสวมชุดสวยๆ อีกครั้ง ครั้งแรกที่ฉันไปนั่งร่วมประชุมธุรกิจ ครั้งแรกที่ฉันเผชิญหน้ากับผู้ชม ในแต่ละครั้งฉันหวาดกลัว ฉันต้องขุดลึกลงไปหาความกล้า รอยยิ้มและความเชื่อมั่นในตัวเอง หากในแต่ละครั้งที่ฉันทำสิ่งเหล่านี้ ฉันก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น กล้าขึ้นและมุ่งมั่นขึ้นทีละเล็กละน้อย”

คาดหวังความล้มเหลว

“มีหลายครั้งที่ฉันเจ็บปวดกับความคิดเห็นที่โหดร้ายและไม่นึกถึงใจคนอื่น ฉันจิตตกเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับโลกหรือไร้เรี่ยวแรงจากสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นความล้มเหลว แต่สิ่งที่ฉันได้ค้นพบก็คือถ้าในแต่ละครั้งที่ฉันเจอความล้มเหลว แต่ฉันปฏิเสธที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ ฉันจะรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย รู้สึกมั่นใจขึ้นเล็กน้อย ทั้งหมดนี้เป็นก้าวเล็กๆ ที่จะค่อยๆ สั่งสมความมั่นใจได้ในไม่ช้า”

เสริมสร้างความนับถือตัวเอง

“สำหรับฉันแล้วความมั่นใจมีต้นกำเนิดจากความนับถือในตัวเอง สองสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน กล่าวคือความมั่นใจคือความเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง ส่วนความนับถือตัวเองคือการที่คุณมองเห็นและให้คุณค่าตัวเองในภาพรวม คนที่มีความนับถือตัวเองต่ำจะประเมินหรือให้คะแนนตัวเองในแบบที่ติดลบมากๆ ปกติแล้วเป็นเพราะคนประเภทนี้มีความเชื่อในสิ่งที่ไม่จริงและเป็นภัยต่อตนเอง คนเหล่านี้คิดว่าพวกเขารักใครไม่ได้ ไม่น่าคบ โง่เขลา สิ้นหวังและไม่เก่งอะไรเลยสักอย่าง”

เคทีเชื่ออย่างหนักแน่นด้วยว่ารากฐานของความนับถือตนเองนั้นมาจากวัยเยาว์ แต่ก็คิดว่าไม่ใช่สิ่งที่ตายตัวเสมอไปและคุณไม่อาจจะกล่าวโทษคนอื่นในสิ่งที่คุณรู้สึกต่อตัวเอง

คำแนะนำของเคทีมีดังต่อไปนี้:

• ลงมือทำในสิ่งที่พูดว่าจะทำ

• จริงใจ อ่อนโยนและมีน้ำใจต่อผู้คนรอบข้าง

• ไม่ตัดสินคนอื่น

• รับฟังคนใกล้ตัว

• เสริมสร้างทักษะความสามารถของตนเอง

• พูดว่าไม่เมื่อจำเป็นต้องทำ

คิดบวกเสมอ

“ในบรรดาวิถีทางทั้งหมดที่เราจะทำลายความนับถือตัวเองและกัดกร่อนความเชื่อมั่นในตัวเองให้น้อยลง การวิจารณ์ตนเองมากเกินไปนั้นเลวร้ายที่สุด แม้ว่าสิ่งเลวร้ายทั้งปวงอาจเกิดขึ้นได้กับตัวเราก็ตาม แต่เป็นวิธีที่เราตอบสนองต่อสิ่งเหล่านั้นต่างหากที่จะกำหนดว่าเราจะรู้สึกกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอย่างไร ปิดปุ่ม ‘ไม่ดีพอ’ ที่วิ่งวนในหัวตัวเองได้แล้ว’

ตรงกันข้าม เคทีเชื้อเชิญให้เราคิดบวกและย้ำบอกตัวเองซ้ำๆ ถึงแง่ดีในตัวเอง ตามแนวทางของกูรูด้านเสริมสร้างความนับถือตนเองชื่อดังอย่างลูอิส เฮย์ “ลูอิสแนะนำว่าคุณอาจเริ่มต้นบอกตัวเองด้วยประโยคง่ายๆ เช่น ‘ฉันรักและพอใจในตนเอง’ และบอกตัวเองซ้ำๆ ไปจนติดเป็นนิสัย ครั้งแรกอาจจะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ก็เป็นความท้าทายที่คุ้มค่าที่จะลงมือทำให้สุดทางเพราะมันสร้างผลกระทบที่ทรงพลังมากจริงๆ”

พึงระวังโซเชียลมีเดีย

“เราอยู่ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนเร็วมากเมื่ออินสตาแกรม ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊คและโซเชียลมีเดียอื่นๆกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว มันสนุกนะที่ได้แชร์รูป แต่อีกด้านของมันคือเป็นพื้นที่บ่มเพาะการวิจารณ์ตัวเองและความอิจฉา อีกทั้งยังเป็นหนทางง่ายๆที่คุณจะเปรียบเปรียบตัวเองในแง่ลบกับรูปที่คุณเห็นซึ่งอยู่รอบตัวคุณทุกวี่วันและจะเกิดความรู้สึกไม่พอใจกับตัวเองขึ้นมาและอยากมีอยากได้ในสิ่งที่คนอื่นเขามีกัน

“ปัญหาก็คือรูปภาพมากมายเหล่านั้นถูกตกแต่งภาพ จึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่ต้องระลึกไว้อยู่เสมอว่ามีสิ่งที่เป็นภาพถ่ายกับสิ่งที่เป็นชีวิตจริง และอย่าทำผิดพลาดด้วยการเปรียบเทียบตัวเองกับสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง

“เมื่อฉันอัพรูปในอินสตาแกรม ฉันจะไม่ใช้โปรแกรมโฟโต้ช็อปแต่งรูป รูปที่ฉันโพสต์แสดงตัวตนที่ฉันเป็นและคุณจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าฉันมีแผลเป็น เราต่างก็มีรูปร่าง ความสูง สีผิวและลักษณะภายนอกที่มีมาตั้งแต่กำเนิดและเราก็เลือกได้ว่าจะหาความสุขจากสิ่งที่มีได้มากที่สุดอย่างไร แต่ก็มีบางอย่างในตัวเราเองเหมือนกันที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและเรียนรู้ที่จะรักมันด้วยเพราะสิ่งเหล่านั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา

“ท้าทายเสียงวิจารณ์ในตัวเอง สลัดความคิดเห็นแง่ลบในใจแล้วเปลี่ยนใหม่เป็นความคิดเห็นในแง่บวก มีความสุข มองโลกในแง่ดี การมีชีวิตคิดบวกจะช่วยให้ความมั่นใจในตัวเองเบ่งบานและงอกงามขึ้นได้”

………………………………………………………………………………………………

REPORT: NADINE BAGGOTT

PHOTOS : GETTY IMAGES

Never miss an update

Subscribe to our newsletter to get the latest updates.

No Thanks
You’re all set

Thank you for your subscription.