รู้ไหมว่ายิ่งร่างกายเข้าสู่ ภาวะเครียดสะสม เครียดแบบไม่รู้ตัว มากเท่าไหร่ ยิ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพเรามากขึ้นเท่านั้น เรามาลองสังเกตตัวเองกันดีกว่าว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่ ถ้าใช่จะได้รีบแก้ไขให้ตรงจุดก่อนจะสายเกินไป !
โอ๊ยชีวิตมันเครียดเนอะ ! ในทุก ๆ วันเราต้องเผชิญหน้ากับความเครียดจากสารพัดสาเหตุอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นความกดดันของคนรอบข้าง ความคาดหวัง ภาระหน้าที่ แถมบางทีเราก็เผลอกดดันตัวเองซ้ำไปอีก แน่นอนว่าการปล่อยให้ตัวเราจมอยู่กับความเครียดต่อไปนี่ไม่ดีแน่ ๆ เพราะนอกจากร่างกายจะทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัดแล้ว จิตใจของเราก็พลอยพังทลายลงไปด้วยพร้อม ๆ กัน เพื่อป้องกันไม่ให้ความเครียดสะสมอยู่กับตัวเรามากเกินไป ลองมาเช็คสัญญาณความเครียดกันหน่อยดีกว่าว่าเราเข้าข่ายกหรือไม่ และ ควรรับมืออย่างไรจึงจะเหมาะสม

สัญญาณเมื่อร่างกายเข้าสู่ ภาวะเครียดสะสม
นอนไม่หลับ
สัญญาณแรกที่บ่งบอกว่าเรามีความเครียดสะสมอยู่ในเกณฑ์ที่ร่างกายเริ่มรับไม่ไหว คือ นอนไม่หลับ หรือ หลับแต่ไม่สนิท บางครั้งอาจตื่นเร็วเกินไป หรือ ตื่นกลางดึก พอตื่นแล้วก็หลับต่อยาก ตอนหลับก็ฝันอะไรไม่รู้อิรุงตุงนังไปหมด ทำให้รู้สึกเหนื่อยตอนเช้า ตื่นมาแล้วไม่รู้สึกสดชื่น รู้สึกพักผ่อนไม่เคยพอเลยในแต่ละคืน
อารมณ์แปรปรวน
เราอาจไม่ค่อยรู้สึกตัวเท่าไหร่ แต่คนรอบข้างเรารู้สึกได้แน่นอนว่าช่วงนั้นเราอารมณ์แปรปรวนง่าย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย อะไรนิดหน่อยก็หงุดหงิดโมโห บางครั้งก็รู้สึกเหนื่อย เบื่อหน่ายกับชีวิต ไม่อยากขยับไปทำอะไร แต่บางครั้งก็กังวลใจจนอยู่ไม่สุข หรือ รู้สึกแย่ที่ทำงานที่ได้รับมอบหมายออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร
ไม่มีสมาธิทำงาน
ข้อนี้แหละที่เราจะสังเกตตัวเองได้ว่าอยู่ใน ภาวะเครียดสะสม ไหม เพราะเราจะเริ่มไม่มีสมาธิในการทำงาน รู้สึกจิตใจว้าวุ่นไปหมด สมาธิมันแกว่งจนสงบจิตใจไม่ได้ เริ่มทำงานผิดพลาด ตัดสินใจช้า ทำงานช้า แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่ได้ จนในที่สุดก็เริ่มหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ productive เหมือนเดิม แต่ก็หาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไม

วิธีดูแลตัวเองเมื่อเริ่มเครียดสะสม
หาช่วงเวลาหยุดพักบ้าง
ถ้าเราเริ่มอยู่ในภาวะที่ทำอะไรก็ไม่มีความสุข อะไรที่เคยชอบทำก็เริ่มไม่ชอบ แนะนำให้หาเวลาหยุดพักแบบด่วน ๆ เลย สักวันละ 10 นาทีก็ยังดี แนะนำให้หาห้องสงบ ๆ อากาศเย็นสบาย นั่งหลับตาพักกายใจ ปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ ไหลผ่านไป ไม่จมอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป วางปัญหาต่าง ๆ ทิ้งลงไปก่อน การเวลาหยุดพักก็เหมือนการ Detox ความคิด แก้ปมยุ่งเหยิง ไล่หมอกที่ปกคลุมภายในใจเราออกไป จากนั้นเราจะค่อย ๆ เห็นเส้นทางในการแก้ปัญหาเอง
ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม
การอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ อาจส่งผลให้เราเกิดความเครียด และ กดดันตัวเองได้ แนะนำให้ลองปรับสภาพแวดล้อมใหม่ดู ชอบอะไรก็เอามาวาง เอามาตั้งไว้ใกล้ ๆ เปลี่ยนแผ่นรองเมาส์ใหม่ หาต้นไม้น่ารัก ๆ มาตั้งไว้บนโต๊ะทำงาน จัดระเบียบบ้านที่เคยรกให้เข้าที่เข้าทาง เมื่อสภาพแวดล้อมปลอดโปร่งโล่งสบาย จิตใจของเราก็จะเบาขึ้นตามไปด้วย
เปลี่ยน Mindset ตัวเองใหม่
เมื่อร่างกายจมอยู่กับความเครียด การแก้ปัญหาต่าง ๆ มักทำได้ไม่ดี เพราะเราจมอยู่แต่กับปัญหาตรงหน้าจนไม่ได้ถอยออกมามองรอบ ๆ เราจะวิตกกังวลอยู่กับมันจนในที่สุดเราจะเดินมาถึงทางตัน แนะนำว่าถ้าเราอยู่ในสถานการณ์นี้ ลองหายใจเข้าลึก ๆ ถอยออกมาจากปัญหาสักก้าว บอกตัวเองว่าทุกอย่างมีทางแก้ มีทางออกเสมอ และ หนทางเหล่านั้นไม่ได้มีแค่ทางเดียว เราเป็นคนเก่ง เราแก้ปัญหาได้อยู่แล้ว เมื่อเรามองโลกในแง่ดี มองที่ปัญหา และ แก้ไขจากสาเหตุโดยตรง เมื่อนั้นความเครียดต่าง ๆ จะเบาบางลงไปเอง
Work Life Balance คือคีย์หลัก
รู้แหละว่าการทำงานสำคัญ แต่อย่าลืมบริหารเวลาในชีวิตให้สมดุลด้วย หาเวลาพักผ่อนบ้าง ทำกิจกรรมที่ชอบบ้าง และ อย่าลืมหาเวลาออกกำลังกายด้วย การผละออกจากงานก็ถือเป็นการดูแลตัวเองอีกรูปแบบหนึ่ง เราจะได้ใช้เวลาของเราอยู่กับตัวเราอย่างเต็มที่ มีช่วงเวลาที่เป็นของเราจริง ๆ ซึ่งช่วงเวลาเหล่านี้จะช่วยเยียวยาความเหนื่อยล้าของเราได้ ความเครียดที่สะสมมาทั้งวันก็จะมลายหายไป
อ่านเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับราชวงศ์ ทั้งไทย และ ต่างประเทศ เซเลบริตี้ ข่าวสารใหม่ ๆ และ เรื่องราวเกี่ยวกับแฟชั่น สุขภาพ และความงามได้ที่ HELLO!
Feature Image by @jcomp/freepik