วิธีการกินวิตามิน บำรุงร่างกายจากความอ่อนล้า

เราทุกคนรู้ดีว่า การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ควรได้รับสารอาหารครบทุกหมู่ ไม่ว่าจะโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน แร่ธาตุต่าง ๆ แต่หลายคน อาจลำบากในการหากินให้ครบทุกอย่าง เพราะอาหารบางชนิด ก็มีรสชาติไม่ถูกปากเอาเสียเลย หรือบางที ก็ลำบากให้การหามารับประทานให้ครบ เป็นประจำ ถ้าร่างกายขาดสารอาหาร แร่ธาตุ หรือวิตามินต่าง ๆ ก็จะเกิดอาการผิดปกติตามมา เพราะอย่างนั้น อาหารเสริมจำพวกวิตามินต่าง ๆ จึงช่วยเติมเต็มจุดนี้ได้ มาดูกันว่า วิธีการกินวิตามิน แต่ละชนิดนั้น ควรกินอย่างไร มีจุดไหนที่ต้องระวังบ้าง

วิตามิน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน

วิตามิน ที่ละลายในน้ำ
ได้แก่ วิตามิน C และ วิตามิน B ที่ร่างกายสามารถขับออกได้เอง โดยธรรมชาติ ทางเหงื่อ หรือปัสสาวะ เมื่อได้รับในปริมาณ ที่มากเกินไป ทั้งนี้ ก็ไม่ควรรับประทานมากเกินไปอยู่ดี อย่างวิตามิน C นั้น ถ้าสะสมมากเกินไป จะเกิดผลเสียกับไต ทำให้เกิดเป็นนิ่วได้ และอาจทำให้ ปัสสาวะออกมา เป็นสีเหลืองเข้ม ส่วนวิตามิน B มักพบในเนื้อสัตว์ คนที่เป็นมังสวิรัติ จึงอาจต้องได้รับวิตามินเสริม อย่างไรก็ตาม ทั้ง วิตามิน C และ วิตามิน B ต่างก็เป็นวิตามินที่ร่างกายควรได้รับทุกวัน ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะช่วยในการทำงานของระบบต่าง ๆ

วิตามิน C

ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานร่างกาย ให้ไม่เจ็บป่วยง่าย เสริมสร้างคอลลาเจน จึงทำให้ผิวเปล่งปลั่ง สุขภาพดี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมร่างกาย และยังช่วยลดความเครียด เพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย หากขาดวิตามิน C อาจมีอาการเลือดออกตามไรฟัน บาดแผลสมานช้า ซึ่ง ปริมาณ วิตามิน C ที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน สำหรับผู้ชาย จะอยู่ที่ 100 มิลลิกรัม ส่วนผู้หญิง จะอยู่ที่ 85 มิลลิกรัม และไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัม ต่อวัน ควรกินหลังอาหาร ให้ร่างกายดูดซึมได้ดี

วิตามิน B

มีหลายชนิดด้วยกัน แต่ละชนิดก็จะมีสรรพคุณต่างกันไป เช่น วิตามิน B7 หรือ ไบโอติน ช่วยในการบำรุงเส้นผม และเล็บ ให้แข็งแรง วิตามิน B รวม ช่วยบำรุงประสาทและสมอง และผิวพรรณ ให้สุขภาพดี สิ่งที่ควรระวังคือ อย่ากิน วิตามิน B ช่วงกลางคืน หรือก่อนนอน เพราะจะทำให้ร่างกายตื่นตัว นอนไม่หลับได้ ควรกินช่วงเช้า และดื่มน้ำเยอะ ๆ สำหรับ ปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละวันจะอยู่ที่ 25-50 มิลลิกรัม นอกจากนี้ ให้ระวัง อย่ารับประทานไข่ขาวดิบมากเกินไป เพราะจะไปทำลายไบโอติน ในวิตามิน B7 ได้

วิตามิน ที่ละลายในไขมัน

วิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามิน A วิตามิน D วิตามิน E และ วิตามิน K กลุ่มนี้ หากได้รับมากเกินไป จะสะสมอยู่ในร่างกาย ส่งผลต่อตับและสมองได้ วิธีการกินวิตามิน กลุ่มนี้ ไม่ควร กินคู่กับอาหารเสริม ธาตุเหล็ก เพราะจะทำให้ ดูดซึมได้ไม่ดี

วิตามิน A

พบมากในผักสีเข้ม และ ผักสีเหลือง สีส้ม เช่น ผักคะน้า วยเล้ง แครอต ฟักทอง มะละกอ มะเขือเทศ ช่วยบำรุงสายตา บำรุงเยื่อบุผิวของอวัยวะ ถ้ารับประทานมากไป อาจส่งผลกับสมอง และตับ ปริมาณที่เหมาะสม ในแต่ละวัน คือ ไม่เกิน 600-700 ไมโครกรัม ต่อวัน และควรกินระหว่างอาหาร หรือหลังอาหาร

วิตามิน D

ช่วยส่งเสริมการดูดซึม แคลเซียม เสริมสร้างกระดูก และฟันให้แข็งแรง ปกติแล้วเราจะได้รับ วิตามิน D จากแสงแดด กับในอาหารพวก น้ำมันตับปลา ไข่แดง เห็ด ไม่ควรรับประทานเกิน 50 ไมโครกรัม ต่อวัน ถ้าต้องการเสริมวิตามิน D ควรปรึกษาแพทย์ก่อน ว่าจำเป็นจริง ๆ ไหม เพราะถ้าได้รับมากเกินไป ก็ไม่ดีต่อร่างกายเช่นกัน

วิตามิน E

โดดเด่นด้านการบำรุงผิวพรรณ ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน เพราะ วิตามิน E ส่งผลต่อเลือด จึงควรเลี่ยงสำหรับผู้ที่กินยาละลายลิ่มเลือดทั้งหลาย ไม่ควรได้รับเกิน 1000  ไมโครกรัม ต่อวัน และกินระหว่างมื้อ พร้อมอาหารที่มีไขมันเล็กน้อย

วิตามิน K

ช่วยในการแข็งตัวของเลือด พบมากในผักใบเขียว อย่าง ปวยเล้ง กะหล่ำปลี บร็อคโคลี่ และ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันคาโนล่า ร่างกายสามารถสร้างจากแบคทีเรียในลำไส้ได้ ปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรเกิน 65-90 ไมโครกรัม ต่อวัน หากร่างกายได้รับ วิตามิน K สังเคราะห์ มากเกินไป อาจทำลายเนื้อตับได้

เคล็ดลับ วิธีการกินวิตามิน อื่น ๆ

• ควรกินวิตามิน กับน้ำเปล่า เท่านั้น เพื่อให้เห็นผลชัดเจนที่สุด และไม่ถูกขัดขวางการดูดซึม
• สามารถกินวิตามิน พร้อมอาหาร หรือหลังอาหาร ก็ได้ เพื่อการดูดซึมที่ดี
• วิตามินที่มีกลิ่นแปลกไป อาจเกิดจากการเก็บรักษาที่ไม่ดี แต่ยังไม่ได้เสีย แค่ประสิทธิภาพอาจลดลง

อ่านเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับราชวงศ์ ทั้งไทย และ ต่างประเทศ เซเลบริตี้ ข่าวสารใหม่ ๆ และ เรื่องราวเกี่ยวกับแฟชั่น สุขภาพ และความงามได้ที่ Hello!