หากเอ่ยถึงเทคนิคการปรับรูปหน้ามาแรงแห่งปี ต้องยกให้นวัตกรรมการร้อยไหมโครงตาข่าย ที่ให้ผลลัพธ์แบบ 2in1 ที่จะช่วยแก้ไขความหย่อนคล้อยของผิวหน้าและสุขภาพดี จนได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในเกาหลีใต้ ครั้งนี้ HELLO! มีนัดกับ ‘คุณหมอขนม-แพทย์หญิงภัทรชนน อัศววรฤทธิ์’ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง เวชศาสตร์ความงามและการชะลอวัยแห่ง RWC (Roselin Wellness Center) คุณหมอขนมคือหนึ่งในแพทย์ไทยกลุ่มแรกที่ผ่านการฝึกอบรมกับศัลยแพทย์ผู้คิดค้นนวัตกรรมนี้
หมอขนมเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางด้านการปรับรูปหน้าให้งดงามตรงใจ ไม่ว่า Asian Look ที่เน้นความอ่อนละมุนแบบนางเอกเกาหลี หรือ Model Look ที่เน้นความคมเข้มสไตล์ยุโรป นั่นเพราะไม่เพียงมีความรู้ด้านกายวิภาคเป็นอย่างดีในฐานะบัณฑิตแพทย์จากรั้วจามจุรี หากแต่เธอยังสำเร็จปริญญาโทด้านผิวหนังจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ก่อนศึกษาเพิ่มเติมด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยจาก American Academy of Anti-Aging Medicine สหรัฐอเมริกา ด้านผิวหนังและโรคภูมิแพ้จาก Juntendo University จากญี่ปุ่น และด้านศัลยกรรมความงามจาก Korean College of Cosmetic Surgery จากเกาหลี

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง เวชศาสตร์ความงามและการชะลอวัยแห่ง RWC (Roselin Wellness Center)
“เทคนิคในการปรับรูปหน้าขึ้นอยู่กับข้อกังวลของแต่ละคนค่ะ ถ้าปัญหาเกิดจากความหย่อนคล้อย หมอยกให้ ‘การร้อยไหม’ ตอบโจทย์ที่สุด อันที่จริงไหมถูกใช้ในวงการแพทย์มาเกือบร้อยปีแล้วนะคะในฐานะไหมเย็บแผล ต่อมาเมื่อพบว่าไหมละลายกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ จึงนำมาทดแทนการผ่าตัดยกกระชับใบหน้า ระยะพักฟื้นที่สั้นกว่า บวมน้อยกว่า แถมคนที่มีโรคประจำตัวก็เข้ารับบริการได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการวางยาสลบ” คุณหมอให้ความรู้เบื้องต้น
“นวัตกรรมโครงตาข่ายแบบ Bidirectional 360 องศา เป็นการรวมกันระหว่างเส้น แกนกลางที่เป็น ‘ไหมเงี่ยง’ และล้อมรอบด้วย ‘เส้นไหมโครงตาข่าย’ ซึ่งเครื่องมือแพทย์นี้ผ่านการรับรองอย่างถูกต้องในประเทศไทย เกาหลีใต้ และหลายประเทศทั่วโลก” หมอขนมอธิบายเพิ่มเติมถึงนวัตกรรมระดับสิทธิบัตรที่คิดค้นโดยศัลยแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์ชีวภาพชาวเกาหลีใต้

“ปกติแล้วเงี่ยงไหมจะทำหน้าที่เกี่ยวรั้งและพยุงโครงสร้างใต้ชั้นผิวค่ะ โดยเงี่ยงเดิมทั่วไปจะพยุงได้แค่ 2 ทิศทาง ไม่หน้า-หลัง ก็ซ้าย-ขวา แต่นวัตกรรมล่าสุด เงี่ยงเกี่ยวมีลักษณะคล้ายกิ่งก้านของต้นไม้ จึงช่วยพยุงชั้นผิวได้รอบทิศทาง ในขณะที่ช่องว่างของโครงตาข่ายก็ได้รับการออกแบบให้กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างเหมาะสม เพราะถ้าออกแบบไม่ดี กระตุ้นเนื้อเยื่อมากเกินไปก็อาจเกิดพังผืดใต้ชั้นผิว หรือหากน้อยเกินไปก็ไม่ปรากฏผลลัพธ์ ที่สำคัญนวัตกรรมนี้ไม่ทิ้งสารตกค้าง ไว้ในร่างกาย เพราะเป็นไหมละลายชนิด Polydioxanone ที่จะสลายตัวภายใน 6 – 8 เดือน”
คุณหมอขนมเล่าต่อถึงขั้นตอนการร้อยไหมที่ไม่ได้เจ็บอย่างที่คิด “เต็มที่คือเจ็บยาชาค่ะ ซึ่งไม่เกิน 10 วินาทีก็หาย” คุณหมอยิ้มผ่านสายตา “จริงๆ มันคือความรู้สึกแสบที่ เกิดจากค่า pH ของตัวยาแตกต่างจากผิว เมื่อยาชาออกฤทธิ์ หมอจะเริ่มร้อยไหมลงไป ที่ผิวชั้น SMAS ถ้าชอบลุคธรรมชาติ ค่อยๆ สวย ก็อาจเริ่มจากข้างละ 2 เส้น ลองดูสักครึ่งปีค่อยกลับมาเติม แต่ถ้าอยากสวยเป๊ะในทีเดียว โดยเฉลี่ยจะใช้ไหมราว 10 เส้น ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ หลังทำอาจรู้สึกตึงผิวและบวม แต่อาการบวมจากการร้อยไหมจะเป็นลักษณะดูอิ่มเอิบทั้งใบหน้า ไม่ได้บวมช้ำเหมือนการผ่าตัด แต่สัปดาห์แรกไม่แนะนำให้กดนวดหน้า แสดงสีหน้าเยอะๆ หรืออ้าปากกว้างเกินไป เพราะไหมอาจคลายตัวได้”

คุณหมอเผยไฮไลต์ต่อ “บางจุดเห็นความยกกระชับทันทีค่ะ แต่จะเข้าที่และรู้สึกว้าวเมื่อผ่านไป 2 สัปดาห์ เพราะกระบวนการสร้างคอลลาเจนเริ่มทำงาน และตั้งแต่เดือนที่ 3 จะสัมผัสได้ถึงใบหน้าที่เข้ารูปพร้อมผิวพรรณที่ดูอ่อนเยาว์ โดยผลลัพธ์ของไหมโครงตาข่ายนี้อยู่ยาวกว่า 2 ปี ในขณะที่ไหมแบบเก่าซึ่งมีแรงพยุงไม่มาก มักต้องร้อยซ้ำภายในหนึ่งปี ถ้าย้อนไปสัก 7 ปีก่อน คนอยากมีหน้า V-Shape แต่ยุคนี้แทบไม่มีใครต้องการหน้าวีขนาดนั้นค่ะ ส่วนใหญ่จะพอใจในรูปลักษณ์และความงามในแบบของตัวเอง เพียงแค่ต้องการปรับใบหน้าให้เข้ารูปขึ้น ไหมโครงตาข่ายจึงช่วยให้ดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติและช่วยให้ผิวแข็งแรง ตอบโจทย์ทุกความต้องการค่ะ” คุณหมอคนเก่งทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าที่อ่อนเยาว์