Home > Beauty & Health > Health & Wellness > ประโยชน์ของน้ำผึ้ง ความหวานที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่า

หากจะพูดถึงความหวาน ที่มาจากธรรมชาติแล้ว หลายคนคงไม่พ้นนึกถึง น้ำผึ้ง สารให้ความหวาน ที่ได้มาจากการเก็บเกี่ยวเกสรดอกไม้ ของผึ้งงานตัวน้อย ๆ และนิยมนำมาปรุง เป็นเมนูประกอบอาหารต่าง ๆ มากมาย ซึ่งนอกจากความหอมหวาน และกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ประโยชน์ของน้ำผึ้ง ยังมีมากมาย ไม่ว่าจะด้วยการรับประทาน หรือการนำมาทามาพอกก็ตาม ทั้งในด้านการแพทย์ ที่มีสรรพคุณในการบรรเทา บำรุงร่างกาย เสมือนเป็นยาตัวหนึ่ง ในด้านความงาม ที่มีการวิจัย และนำมาใช้ประทินบำรุงผิว ผม หรือช่วยในการผ่อนคลาย รีแล็กซ์ร่างกาย และจิตใจ ยิ่งในช่วงปลายเดือนมีนาคม-เมษายน เป็นช่วงที่น้ำผึ้ง มีความเข้มข้นสูง หรือที่เรียกกันว่าน้ำผึ้งเดือนห้า วันนี้ HELLO! จะพาไปดูกันว่า ประโยชน์ของน้ำผึ้ง ที่เรากินอยู่ทุกวันนี้ จะดีต่อใจ ดีต่อร่างกายเรา อย่างไรบ้าง

ประโยชน์ของน้ำผึ้ง

บรรเทาอาการไอและเจ็บคอ
เป็นที่คุ้นเคยกันดีว่า ในบรรดายาแก้ไอ ยาแก้เจ็บคอต่าง ๆ หลายยี่ห้อ มักจะใช้น้ำผึ้งเป็นส่วนประกอบ มีผลการวิจัยบ่งชี้ว่า การรับประทานน้ำผึ้ง 2.5 มิลลิลิตรก่อนนอน ช่วยบรรเทาอาการไอจากโรคติดเชื้อ ในระบบทางเดินหายใจ ได้ดีกว่ายาแก้ไอ ซึ่งจะเห็นผลได้ดีที่สุดในเด็กอายุ 2 ขวบขึ้นไป สำหรับน้ำผึ้งนั้น จะมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรค ช่วยกำจัดเชื้อในลำคอ ที่ทำให้เกิดอาการไอได้ และยังช่วยให้ความชุ่มชื้น ทำให้ไม่ระคายคอ ลองผสมน้ำผึ้งกับน้ำอุ่นดื่ม หรือผสมน้ำมะนาวเพิ่มลงไปด้วย จะช่วยบรรเทาอาการไอ เพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกายได้

รักษาบาดแผล
สำหรับแผลไหม้ น้ำผึ้งสามารถช่วยบรรเทา ลดอาการนูน หรือรอยแผลเป็นได้ ประโยชน์ของน้ำผึ้ง คือจะช่วยสมานแผล ช่วยฆ่าเชื้อโรค กระตุ้นการเติบโตของเนื้อเยื่อ โดยมีการทดลอง รักษาบาดแผลด้วยผ้าพันแผลที่ชุ่มน้ำผึ้ง พบว่าน้ำผึ้งจะช่วยลดกลิ่นหนอง ลดการอักเสบติดเชื้อของแผลได้ ไม่ว่าจะเป็นแผลไหม้ แผลถลอก แผลที่ผิวหนัง แผลหลังการผ่าตัด แผลที่ขา แผลฝี แผลถูกบาด และแผลผิวหนัง บริเวณที่มีการปลูกถ่ายของผิวหนัง ทำให้การรักษาแผลมีประสิทธิภาพ หายไวยิ่งขึ้นได้

ประโยชน์ของน้ำผึ้ง

แก้ท้องผูก
น้ำผึ้ง สามารถช่วยดีท็อกซ์ ระบายของเสีย ออกจากร่างกายได้ เพราะในน้ำผึ้ง มีโพรไบโอติกส์ แบคทีเรียชนิดดี และจุลินทรีย์แลคโตบาซิลัส ที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างราบรื่น จึงมีคุณสมบัติช่วยแก้ท้องผูก ช่วยระบาย ช่วยให้ขับถ่ายได้สะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าอยากเพิ่มประสิทธิภาพแบบคูณสอง แนะนำให้กินแบบแพ็คคู่ กับกล้วยน้ำว้าสุก ยาระบายชั้นเลิศ หรือมันต้มสุก รวมถึงผสมน้ำอุ่น ดื่มก่อนนอน ก็ดีต่อระบบลำไส้ และยังช่วยให้คืนนั้น นอนหลับได้สบายยิ่งขึ้นอีกด้วย

บำรุงหัวใจและสมองให้แข็งแรง
ความหวานของน้ำผึ้งนั้น ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้น้อย (หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม) และยังมีแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงระบบไหลเวียนโลหิต ให้ทำงานได้ดีขึ้น การทำงานของหัวใจ จึงแข็งแรงขึ้นไปด้วย ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และภาวะเส้นเลือดตีบตัน ลดระดับความเครียด ช่วยบำรุงระบบประสาท และสมอง ลดความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ ช่วยให้ผ่อนคลาย จากความตึงเครียดที่เจอในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี

ประโยชน์ของน้ำผึ้ง

บรรเทาอาการภูมิแพ้
ในน้ำผึ้งนั้น มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ และในน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาตินั้น จะมีละอองของเกสรดอกไม้อยู่ ซึ่งละอองธรรมชาติเหล่านี้ จะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานได้อย่างเต็มที่มากขึ้น ให้ร่างกายหลั่งสารฮีสตามีน (Histamine) ที่ทำให้เกิดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลน้อยลง

ช่วยให้หลับสบาย
ผสมน้ำผึ้งกับน้ำอุ่น หรือจิบน้ำผึ้งสักสองช้อนชา แล้วดื่มน้ำอุ่นตามก่อนเข้านอน ประมาณสักครึ่งชม. จะช่วยให้ร่างกายลดความตึงเครียด คลายความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ให้ร่างกายหลั่งอินซูลิน และเซโรโทนินที่เป็นฮอร์โมนแห่งความสุข และทำให้ร่างกายเริ่มรู้สึกง่วงนอน เพราะเซโรโทนิน จะเปลี่ยนเป็นเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกเกิดความง่วงขึ้นมา

ประโยชน์ของน้ำผึ้ง

เสริมความงามในด้านต่าง ๆ
ประโยชน์ของน้ำผึ้ง ที่เป็นที่ยอมรับในวงกว้างอีกอย่าง คือสรรพคุณ ที่สามารถนำมาบำรุง เสริมความงามให้กับผิว และเส้นผมได้ ทั้งการนำมาพอก มาสก์หน้า เพื่อให้ผิวเนียนนุ่ม ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดการอักเสบ ทำให้สามารถลดสาเหตุของการเกิดสิวได้ด้วย และยังสามารถนำมาหมักผม ทำให้เส้นผมแข็งแรง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียบนหนังศีรษะ นำน้ำผึ้งมาผสมร่วมกับน้ำมันมะกอกเพื่อหมักผม จะทำให้ผมนุ่มสลวย เงางาม

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีประโยชน์แค่ไหน แต่การรับประทานน้ำผึ้งมากเกินไปก็สามารถให้โทษได้เช่นกัน เพราะในน้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตาลฟรุกโตสอยู่ ถ้ารับประทานมากไป อาจเกิดอาการท้องอืด ท้องเสีย เกิดปัญหากับการดูดซึมของลำไส้ได้ อย่างมากไม่ควรกินเกินวันละ 2-10 ช้อนชา และไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปีกินน้ำผึ้ง เพราะอาจยังไม่มีภูมิต้านทานมากพอที่จะรับมือกับเอนไซม์และสปอร์ที่อยู่ในน้ำผึ้งได้ รวมถึงสตรีมีครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน

อ่านเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับราชวงศ์ ทั้งไทย และ ต่างประเทศ เซเลบริตี้ ข่าวสารใหม่ ๆ และ เรื่องราวเกี่ยวกับแฟชั่น สุขภาพ และความงามได้ที่ Hello!

Never miss an update

Subscribe to our newsletter to get the latest updates.

No Thanks
You’re all set

Thank you for your subscription.