ใครที่เริ่มรู้สึกว่าไม่ยินดียินร้ายกับอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเรื่องร้ายหรือเรื่องดี อันนี้เริ่มอันตรายแล้วนะตัวเธอ เพราะมันอาจจะไม่ใช่แค่ Burnout แต่เลยไปอยู่ในภาวะ Dead Inside เลยก็ได้
Burnout (ภาวะหมดไฟ) กับ Dead Inside (ภาวะสิ้นยินดี) มีทั้งความเหมือน และ ความต่างกัน สิ่งที่เหมือนกัน คือ ทั้งสองอย่างเป็นภาวะที่เกิดจากความเครียด ส่งผลให้ภายในจิตใจของเรารู้สึกเหนื่อยล้า หมดพลัง อ่อนแรงเกินกว่าจะทำอะไร เคยชอบทำอะไรตอนนี้ก็ไม่ชอบ เคยอยากไปไหนมาไหนตอนนี้ก็ไม่อยาก

ส่วนสิ่งที่แตกต่างกัน คือ ความรุนแรง และ ความหยั่งรากลึกในจิตใจ ภาวะหมดไฟ จะเป็น ภาวะเครียด ที่เกิดจากการทำสิ่งเดิม ปัญหาเดิม สภาพแวดล้อมเดิม ทำให้เราจมปลักอยู่กับอะไรที่ Toxic กับตัวเองเป็นเวลานาน จนพลังงานหายไปหมด แต่ ภาวะสิ้นยินดี ร้ายแรงกว่านั้น เป็นภาวะที่ เกิดจากหลายสาเหตุ ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกาย และ จิตใจ ถึงแม้เราจะ ดูเหมือนโอเค แต่ข้างในกลับ ว่างเปล่า เป็นร่างกายไร้วิญญาณที่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ โดยไม่ยินดียินร้ายกับอะไร

สัญญาณที่บ่งบอกว่าเราเริ่มอยู่ในภาวะ Dead Inside
1. เริ่มรู้สึกว่า ไร้จุดหมาย ชีวิตไม่มีทิศทาง สิ่งที่ทำอยู่ ก็แค่ทำให้มันจบ ๆ ไป ได้แต่เดินไปข้างหน้า แบบมองไม่เห็นทางไปต่อ ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิต ไปเพื่ออะไร
2. ไม่สุข แล้วก็ไม่ทุกข์ มองว่า เรื่องทุกอย่างรอบตัว คือ ความขาวเพลน ๆ ไม่ยินดียินร้าย ด้านชาต่อทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว ไม่เศร้า ไม่ตื่นเต้น ราวกับ หุ่นยนต์ ที่ ไร้ความรู้สึก
3. ไม่กระตือรือร้น เพราะรู้สึกไม่มีอารมณ์ร่วม จึงไม่รู้สึกว่า ต้องทำอะไรเร่งรีบ หรือ ต้องทุ่มเททำสิ่งใด มีความเฉื่อยชา ว่างเปล่า
4. แยกตัวออกจากสังคม เริ่มรู้สึกว่าการเข้าสังคมเป็นสิ่งยุ่งยาก ไม่อยากคุยกับใคร อยากอยู่คนเดียว เพราะรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ รู้สึกว่าตัวเองอ้างว้างโดดเดี่ยว
5. สีสันในชีวิตลดลง เริ่มไม่มีงานอดิเรก ไม่มีหนังที่อยากดู ไม่มีสิ่งที่อยากทำ ไม่ฟังเพลง ไม่ออกไปไหน เก็บตัวอยู่คนเดียว

รับมือยังไงดีล่ะ ?
หากเราตัวเธอเริ่มรู้สึกว่า ไม่ไหวละ อารมณ์ความรู้สึกเริ่มด้านชาไปกับทุกสิ่ง หมดแรงทำทุกอย่าง เบื่อการเล่นเกม เบื่อการพบปะผู้คน เริ่มมีกิจวัตรซ้ำเดิม ที่เริ่มจากทำงานไปวัน ๆ ให้มันจบไป พอเลิกงาน ก็กลับบ้านมา นั่งเหม่อนอนเหม่ออยู่เฉย ๆ ไม่มีจุดหมายในการใช้ชีวิต ทางข้างหน้าดำมืดไปหมด แนะนำให้ไปพบ ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขอคำปรึกษาโดยตรงเลยจะดีที่สุด หรือถ้ายังไม่อยากไปพบ ผู้เชี่ยวชาญ อาจเริ่มจากการหา คนใกล้ชิด เพื่อนสนิท หรือ ครอบครัว ที่ไว้ใจได้สักคน มานั่งพูดคุยกันแบบเปิดอก ถึงสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ เพื่อให้คนใกล้ชิดคนนั้น พาเราออกจากจุดเดิม ๆ คอยอยู่ข้าง ๆ และ รับฟังเราอย่างเข้าใจ ช่วยเราขจัดความขุ่นมัวในใจ ให้ค่อย ๆ หายไปก็ได้เหมือนกัน
สุดท้าย สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การมั่นใจในตัวเอง เชื่อมั่นว่า เราสามารถออกจากภาวะนี้ได้ ภาวะภายในจิตใจ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน คนเรามี เข้มแข็ง ก็ต้องมี อ่อนแอ เป็นเรื่องปกติ๊ปกติ หากเรารู้ตัวไว ขอความช่วยเหลือได้ทันท่วงที เราก็สามารถ ก้าวออกมาจากภาวะนั้นได้ แบบชิว ๆ และ ถ้าเราเริ่มไม่โอเคแบบเดิมอีก คราวนี้เราก็รู้ละว่าเรากำลังเป็นอะไร เราก็จะหาทางรับมือกับความรู้สึกนั้นได้ง่ายขึ้นเอง ก็ตัวเรามันเก่งขนาดนี้ จะว้าวุ่นอีกทีก็ยากเลยอะดิ
อ่านเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับราชวงศ์ ทั้งไทย และ ต่างประเทศ เซเลบริตี้ ข่าวสารใหม่ ๆ และ เรื่องราวเกี่ยวกับแฟชั่น สุขภาพ และความงามได้ที่ HELLO!
Feature Image by @tirachardz/freepik