กลายเป็นความกังวลที่ยากจะปฏิเสธจริงๆ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกๆ เรียนอยู่ต่างประเทศ ยิ่งเป็นประเทศกลุ่มเสี่ยงของโรคระบาดไวรัสโควิด-19 ด้วยแล้ว เชื่อว่าหลายบ้านต้องกระวนกระวายใจไม่น้อยเลย และอยากให้ลูกๆ กลับเมืองไทยโดยด่วน
แต่อย่างที่ทราบว่า เมื่อกลับถึงเมืองไทยแล้ว ทุกคนต้อง Self-Quarantine ในระยะเวลา 14 วัน ตามกำหนด เพื่อเฝ้าดูอาการว่า มีการติดเชื้อไวรัสดังกล่าวหรือไม่ ? จึงจำเป็นต้องเว้นระยะห่างจากคนรอบข้าง
บ้านศิลาอ่อน
เช่นเดียวกับเหล่าเซเลบริตี้วัยเรียนที่ทยอยกันกลับสู่อ้อมอกของคุณพ่อคุณแม่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น น้องอาย , น้องแอ๊มพ์ และน้องอิน ลูกๆ ของ ‘คุณพ่อแอม –กำธร และคุณแม่เอ็ม – มณีสุดา ศิลาอ่อน’ ที่เดินทางกลับมาจากประเทศอังกฤษ

ซึ่งคุณแม่เอ็มบอกว่า “บ้านเราค่อนข้างเป็นห่วงเรื่องสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ในกลุ่มประเทศยุโรป เพราะสถานการณ์ตอนนั้นไม่ค่อยดีเลย ความจริงคิดมาตลอดว่าอยากให้ลูกกลับเมืองไทยเร็วๆ แต่เด็กๆ ยังมีเรียน และกำลังจะสอบด้วย บังเอิญที่โรงเรียนของลูกสาวคนเล็ก แจ้งให้ทราบในคืนวันที่ 10 มีนาคมว่า ‘สามารถให้เด็กๆ กลับประเทศได้เลยตั้งแต่วันที่13 มีนาคมโดยได้เตรียมการสอบออนไลน์ไว้แล้ว’ ซึ่งน่าจะเป็นโรงเรียนแรกเลยที่ตัดสินใจได้เด็ดขาดและรวดเร็วมากๆ ค่ะ”

“เรามีเวลาสองวัน ในการจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบิน ให้ลูกรีบเก็บของ จัดกระเป๋า และตัดสินใจให้น้องอาย น้องแอ๊มพ์ กลับมาพร้อมกันเลย ทุกอย่างเป็นการตัดสินใจกะทันหันมาก แต่ก็ดีใจที่ให้ลูกๆ กลับมาถึงระหว่างวันที่ 14 – 15 มีนาคมที่ผ่านมา เพราะหลังจากนั้นเพียงแค่ 2 วัน เริ่มมีข่าวว่าอังกฤษจะ lock down ด้วยเหตุมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และตั๋วเครื่องบินเต็มเกือบหมด”

นอกจากนี้คุณเอ็มยังแชร์ประสบการณ์การเตรียมพร้อมต้อนรับลูกๆ กลับสู่เมืองไทยด้วยว่า โชคดีที่ก่อนหน้านั้น คุณสามีได้เตรียมหาหน้ากาก และเจลแอลกอฮอล์ล้างมือไว้ให้ลูกๆ บ้างแล้ว โดยการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ แม้ราคาจะแพงมากๆ แต่ก็ยังพอหาได้ พร้อมกำชับลูกๆ ว่า “พอขึ้นเครื่องก่อนนั่งให้ทำอะไรบ้าง ต้องใส่หน้ากากตลอดเวลา ให้เช็ดทำความสะอาดทุกพื้นผิวที่เราจะสัมผัสด้วยแอลกอฮอล์ พยายามอย่าดื่มน้ำเยอะ เพราะไม่อยากให้เข้าห้องน้ำบ่อย ซึ่งลูกๆ ก็ปฏิบัติตามหมดทุกอย่าง

“หลังจากนั้นเมื่อลูกๆ มาถึง เอ็มให้พี่แอมแยกไปอยู่บ้านคุณปู่คุณย่า เตรียมให้เด็กๆ อยู่คนละห้อง พร้อมกับเตรียมอุปกรณ์ฆ่าเชื้อชนิดต่างๆ ไว้รอ พอลูกลงจากเครื่อง ก็ฉีดแอลกอฮอล์บนเสื้อผ้าลูกก่อนขึ้นรถ พ่นสเปรย์ฆ่าเชื้อบนกระเป๋าเดินทางทุกใบ และทันทีที่ถึงบ้านก็ให้ลูกๆ อาบน้ำสระผม ซักชุดที่ใส่มาเลย โดยแยกซักไม่ปะปนกับผ้าอื่น เช็ดของใช้ที่นำมาทุกชิ้น และหนังสือทุกเล่มด้วยแอลกอฮอล์ค่ะ”

และในระหว่างกักเก็บตัวดูอาการเด็กๆ บ้านนี้ ก็ได้รับการดูแลอย่างดีจากคุณแม่เอ็ม โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินที่บ้านนี้ขึ้นชื่อว่ามีแต่ของอร่อย “เอ็มจะเตรียมอาหารให้ลูกๆ กินในห้องของตัวเอง โดยจัดใส่ถาด แยกภาชนะ ใครอยากกินอะไร ให้บอกแม่ล่วงหน้า แม่ก็เตรียมจัดหาให้ เพราะสงสารที่เด็กๆ ไม่ได้ออกไปไหน เวลาลูกจะคุยกัน เด็กๆ จะ Line Call และมีการ Line Call กับคุณพ่อ คุณปู่ คุณย่าด้วย อีกทั้งมีการตรวจวัดไข้ให้ลูกๆ ทุกวัน ซึ่งตอนนี้ก็ครบกำหนดการเฝ้าดูอาการแล้วค่ะ ทุกคนแข็งแรงดี แต่ก็ยังต้องเรียนออนไลน์กันทุกวันเลยค่ะ”

บ้านเทวกุล – บุรณศิริ
ส่วน ‘คุณมุก- ม.ล.รดีเทพ เทวกุล’ อีกหนึ่งคุณแม่เซเลบริตี้ที่มีความกังวลใจไม่ต่างกัน ก็เพิ่งจะให้ ‘น้องนุก – กมลพร และน้องมิ้ม – สุพิภา บุรณศิริ’ ลูกสาวคนโตและลูกสาวคนกลาง กลับจากสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 20 – 21 มีนาคมที่ผ่านมา และคุณแม่มุกก็ได้มีการเตรียมรับมือ เพื่อให้ลูกๆ ได้เฝ้าระวังและดูอาการอยู่ที่บ้าน

“โชคดีที่บ้านเราอยู่เป็นตึกอพาร์ทเมนท์ จึงได้จัดห้องพักไว้ให้ลูกๆ คนละห้อง อยู่ชั้นล่างสุด ส่วนคนอื่นๆ คุณตา คุณยาย และคุณแม่ก็แยกกันอยู่คนละชั้น คือบ้านเราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากๆ ตั้งแต่ยังไม่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บ้านเราก็กลัวเชื้อโรคต่างๆ กันอยู่แล้ว (หัวเราะ) อีกอย่างด้วยความที่ลูกๆ โตกันแล้ว เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ดี น้องนุกบอกให้แม่ขับรถยนต์ไปฝากจอดไว้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ แล้วจะขอขับกลับบ้านเอง เพื่อป้องกันคนรอบข้าง เสร็จแล้วก็ให้เข้าไปอยู่ในห้องที่จัดเตรียมไว้ ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งอาหารแห้ง อาหารสด เครื่องดื่ม ของใช้ต่างๆ โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า เครื่องใช้ในครัว รวมไปถึงเครื่องออกกำลังกาย และติดตั้งสัญญาณอินเตอร์เน็ต เพราะลูกๆ ยังต้องเรียนผ่านออนไลน์กันอยู่ค่ะ”


พร้อมกันนี้ยังมีการตั้งโต๊ะ วางเจลแอลกอฮอล์ล้างมือไว้หน้าห้องของแต่ละคนด้วย เวลาต้องการอะไรให้นำมาวางบนโต๊ะ เสร็จก็ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ คุณแม่มุกเล่าให้ฟังด้วยความสบายใจด้วยว่า “เอาจริงๆ ถึงแม้ว่าตั้งแต่กลับมา เรายังไม่ได้เจอหน้ากัน ยังไม่ได้กอดกันให้หายคิดถึง แต่ก็ยังสบายใจกว่าตอนที่ลูกยังอยู่ต่างประเทศ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะครบกำหนด Self-Quarantine แล้ว (4 เมษายน) คงได้กอดลูกให้หายคิดถึงจริงๆ แล้วค่ะ”
บ้านทีปสุวรรณ
รวมไปถึง ‘คุณแม่อีฟ – ทยา ทีปสุวรรณ’ ที่จองตั๋วให้ลูกๆ บินกลับเมืองไทยด่วน ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม ทั้ง ‘น้องเฟย์-ณฤทัย ทีปสุวรรณ’ ลูกสาวคนโตที่กลับมาจากอเมริกา ส่วน ‘น้องฟินน์ – นรุตม์ และน้องฟีฟ่า – ณฤพล ทีปสุวรรณ’ ลูกชายคนกลางและคนเล็กก็กลับมาจากอังกฤษ ซึ่งบ้านนี้ได้ปฏิบัติตัวเกี่ยวกับการเฝ้าระวังเชื้อไวรัสโควิดกันอย่างเคร่งครัด เพราะคุณแม่อีฟได้อธิบายให้ลูกๆ ฟังอย่างชัดเจนว่า เราต้องรับผิดชอบต่อสังคมและส่วนรวม ไม่ว่าจะอยากออกไปเที่ยวเล่นไหน อยากเจอใคร หรืออยากกอดพ่อกับแม่เท่าไหร่ ก็ยังทำไม่ได้ในระหว่างที่ทุกคนต้องเฝ้าดูอาการ หลังจากกลับถึงเมืองไทย ต้องให้ครบตามกำหนด 14 วันก่อน
ทั้งนี้คุณอีฟได้พาลูกๆ ไปตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วย เพราะหลังจากกลับมาลูกชายคนเล็กมีอาการไอ จึงไม่รอช้า รีบพาไปตรวจทันที โดยผลออกมาไม่พบเชื้อไวรัสใดๆ แต่ถึงอย่างไรทุกคนก็ต้องปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของคุณหมอ เพราะโรคนี้เราไม่อาจรู้ได้ทันทีว่า เราจะเป็นไหม ? หรือคนรอบข้างจะมีเชื้อไวรัสนี้หรือเปล่า ฉะนั้นทุกคนต้องดูแลรับผิดชอบตัวเอง
คุณอีฟยังบอกอีกว่า ระหว่างที่ลูกๆ กักตัวดูอาการกันอยู่ ก็เน้นเรื่องการเว้นระยะห่าง ไม่กินข้าวพร้อมกัน แยกช้อน ส้อม จาน ชามของตัวเอง แยกกันอยู่คนละมุมของบ้าน ใส่หน้ากาก พร้อมทั้งได้เตรียมผ้าขาวม้าไว้ให้ลูกๆ คนละ 1 ผืน เอาไว้ใช้สำหรับหยิบจับสิ่งของ และเปิดประตูต่างๆ


“ตอนนี้ต้องนอนก็แยกกัยหมดเลย 5 คน พ่อ แม่ และลูกๆ จากเมื่อก่อนเวลาลูกๆ กลับจากเมืองนอก เราจะมานอนกองรวมกันในห้องเดียว แต่ตอนนี้ต้องตัดใจต่างคนต่างแยกกัน อีกอย่างลูกๆ ทั้ง 3 คน ยังต้องเรียนผ่านออนไลน์ ซึ่งไทม์โซนจะเป็นคนละเวลากับบ้านเรา ทำให้ทุกคนมีเวลาของตัวเองมากขึ้น อย่างลูกสาวคนโต ว่างๆ ก็จะจัดห้องตัวเอง รื้อนั่นย้ายนี่ เปลี่ยนมุมใหม่ๆ ในห้องนอน เล่นเกมออนไลน์ อ่านหนังสือ ดูซีรี่ย์บ้าง ส่วนลูกชายคนกลาง เป็นสายเฮลตี้ ชอบออกกำลังกาย ก็ใช้เวลาว่างช่วงกักตัวออกกำลังกายไปด้วย


“ฝั่งลูกชายคนเล็ก ช่วงนี้กำลังอินกับการวาดรูป คว้าอะไรได้ก็เอามาเพ้นท์หมด ทั้งแล็ปท็อป รองเท้า ผนัง กระป๋อง ฯลฯ จนตอนนี้บ้านจะกลายเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงงานศิลปะอยู่แล้ว แต่ก็ถือเป็นกิจกรรมที่ดี สร้างสมาธิ และใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ด้วยค่ะ”
อย่างไรก็ตาม แม้ตอนนี้เด็กๆ จะพ้นระยะการเฝ้าระวังการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว แต่คุณแม่อีฟยังไม่วางใจ ของดการกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันก่อน คงต้องรอไปอีกสักระยะ เช็คให้ชัวร์ดีกว่า เพราะคุณแม่เองก็พยายามระมัดระวังตัวเองมากขึ้น เนื่องจากเจอผู้คนมากมาย ระหว่างทำโครงการ ‘Saveเรา Saveหมอ’ มีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ คนสนิท แวะมาช่วยทำหน้ากากบ้าง และออกเดินสายแจกหน้ากากบ้าง “พยายามป้องกันตัวเองอย่างดี ใส่หน้ากากตลอด และติดเจลล้างมือไว้ทุกที่ของบ้าน เวลามีใครมาก็จะให้ล้างมือกันก่อนทุกครั้งค่ะ”


นอกจากนั้นคุณอีฟยังได้ฝากถึงคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกๆ ทยอยเดินทางกลับจากต่างประเทศ หรือกลับมาแล้ว และกำลัง Quarantine ตัวเองอยู่ที่บ้าน พยายามอธิบายให้ลูกๆ ฟังว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคนี้ร้ายแรงแค่ไหน และขอให้เด็กๆ มีวินัยในการปฏิบัติตัวเองในช่วงที่เฝ้าระวังด้วย

ก่อนจะทิ้งท้ายว่า “ช่วงเวลานี้ ถือเป็นนาทีทองของคุณพ่อคุณแม่เลยนะคะ ที่จะได้ใช้เวลาอยู่บ้านกับลูกๆ ฉะนั้นควรใช้เวลาคุณภาพนี้ให้คุ้มค่าที่สุด หากลูกๆ พ้นระยะกักตัวและปลอดเชื้อไวรัสแล้ว ก็ลองหากิจกรรมต่างๆ ทำร่วมกัน สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวกันนะคะ”