HELLO! ฉลองครบรอบ 14 ปีด้วยการเชิญ เซเลบริตี้รุ่นใหม่ 14 คน มาร่วมถ่ายภาพพร้อมแชร์ความคิดเห็น งานที่รัก การค้นพบตัวเอง และการก้าวเดินไปข้างหน้าของชีวิต แต่ละคนมีมุมมองที่น่าสนใจ ที่จะเป็นกำลังใจ เป็นไอเดีย เป็นประโยชน์ให้กับท่านผู้อ่าน เพื่อเป็นหนึ่งในพลังขับเคลื่อนชีวิตให้ดำเนินต่อไป
ชุดารี เทพาคำ : เชฟรุ่นใหม่ผู้ส่งเสริมอาหารที่ปลอดภัยและยั่งยืน

‘เชฟตาม’ สาวสวยวัย 27 ปี ดีกรี Top Chef Thailand คนแรกของไทย ซึ่งมีเป้าหมายในการปลูกจิตสำนึกด้านอาหารที่ปลอดภัยและยั่งยืน เธอจึงรังสรรค์ ‘บ้านเทพา’ ให้เป็นพื้นที่ขององค์ความรู้ด้านการทำอาหาร การปลูกผักและพืชสมุนไพร
เชฟตามสำเร็จการศึกษาด้านโภชนศาสตร์จาก University of Nottingham สหราชอาณาจักร เธอได้เดินทางไปศึกษาคอร์สระยะสั้นที่ International Culinary Center โรงเรียนสอนทำอาหารชื่อดังกลางมหานครนิวยอร์ก และได้ทำงานที่ร้านอาหาร Blue Hill at Stone Barns ซึ่งใช้ผลิตภัณฑ์ปลอดสารจากฟาร์มและตลาดท้องถิ่น และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้เธอริเริ่มแนวคิดว่าการกินที่ฉลาดเลือกเป็นอย่างไร
เชฟตามเล่าว่าเธอปรารถนาเพียงให้โปรเจกต์บ้านเทพาที่ทุ่มเทมาเกือบ 2 ปี ได้รับการยอมรับจากลูกค้า เพื่อนร่วมงาน รวมถึง Dan Barber ผู้ที่ให้วิชาเธออย่างเข้มข้นมาตลอด 3 ปี “ตามตั้งใจให้พื้นที่นี้เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านอาหารที่ปลอดภัยและยั่งยืนให้กับกลุ่มเกษตรกร กลุ่มผู้บริโภค และกลุ่มเชฟด้วยกันค่ะ อย่างก่อนหน้านี้มีนักเรียนเชฟมาฝึกงานที่ร้าน แล้วเขากลับออกไปด้วยความสนใจใหม่ด้านวัตถุดิบไทย แค่นี้ตามก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วในการจุดประกายบางอย่างให้สังคม”
ทิพย์วิภา กิตติ์อัครานนท์ : ปั้นแบรนด์แฟชั่นและชุดแต่งงานของไทย ให้ก้าวสู่ระดับกูตูร์

ปลายปีที่แล้ว คุณเจน-ทิพย์วิภา กิตติ์อัครานนท์ นำแบรนด์เสื้อผ้าและชุดเจ้าสาวระดับกูตูร์ที่ปั้นมากับมืออย่างลาสเทล (L’Astelle) สร้างเสียงฮือฮาและปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการแฟชั่นไทยด้วยการบินไปเปิดตัวคอลเลกชั่นแรกที่ InterContinental Paris Le Grand ประเทศฝรั่งเศส จนกลายเป็นกระแสทอล์กออฟเดอะทาวน์ถึงฝีมือที่ไม่ธรรมดาของชุดอีฟนิ่งเดรสและชุดแต่งงานกว่า 30 ชุด ที่เธอออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจจากความวิจิตรงดงามภายในพระราชวังออกุสตุสเบิร์ก ประเทศเยอรมนี สร้างสรรค์เป็นลวดลายปักที่โดดเด่นด้วยตนเอง ผสานเทคนิคการ ตัดเย็บขั้นสูง และส่งไปทำโปรดักชั่นที่ฝรั่งเศสทั้งหมด แสดงแบบโดยเหล่านางแบบแถวหน้า ทั้งยังมีเซเลบริตี้ระดับ เอ-ลิสต์ทั้งชาวไทยและต่างชาติบินไปร่วมงานอย่างคับคั่ง
เธอเลือกเรียนในสายแฟชั่นเต็มตัวในสาขา Fashion Design & Development แม้จะเรียนหนักและมีงานต้องทำส่งมากเพียงใด แต่สาวร่างเล็กคนนี้ไม่เคยท้อ และหลังจากส่งโปรเจกต์สุดท้ายจบ วัน รุ่งขึ้นเธอก็ได้รับการตอบรับให้เข้าฝึกงานที่แบรนด์แฟชั่นกูตูร์ชั้นนำของอังกฤษทันที เนื่องจากพอร์ตผลงานที่ดีเยี่ยมและชิ้นงานปักต้นแบบที่เธอสร้างสรรค์เองกับมือทุกชิ้น แต่ยังไม่ครบปีเธอก็จำเป็นต้องกลับมาช่วยคุณพ่อคุณแม่ดูแลกิจการที่บ้าน “เจนกลับมาช่วยงานอยู่ครึ่งปี คุณแม่คงเห็นเหมือนเดิมว่าเราไม่มีความสุขกับงานที่ทำอยู่ทั้งๆ ที่เจนก็ไม่เคยบ่น ท่านจึงอนุญาตให้เราลองทำในสิ่งฝัน คือการเปิดแบรนด์ของ ตัวเอง ใช้เวลาไม่นานเจนก็เริ่มทำเลย เพราะเจนรู้ดีว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะไม่มีวันยอมแพ้”
แบรนด์ลาสเทลเกิดขึ้นเพื่อสร้างมิติใหม่ให้กับแบรนด์ชุดราตรีและชุดแต่งงานของไทย เธอออกแบบงานทุกชิ้นด้วยตนเอง รังสรรค์งานปักที่ไม่เหมือนใครโดยนำแรงบันดาลใจมากมายมาจากการเดินทางท่องเที่ยวที่เธอโปรดปราน ที่สำคัญคือ หลังจากขึ้นแบบเองแล้ว งานปักทุกชิ้นจะถูกส่งไปให้ช่างปักที่ฝรั่งเศส ในอนาคตคุณเจนตั้งธงไว้ว่าเธออยากเปิดร้านอีกสาขาที่ฝรั่งเศส และอยากเป็นตัวแทนของแบรนด์ไทยที่ได้รับการการันตีว่าเป็นแบรนด์กูตูร์จริงๆ เราเชื่อว่าฝันนั้นไม่ไกลเกินเอื้อมสำหรับเธอแน่นอน
ปณาลี ภัทรประสิทธิ์ : สร้างอาณาจักรค้าส่งผักผลไม้ที่มั่นคงและยั่งยืน

คุณน้ำ-ปณาลี ภัทรประสิทธิ์ ลูกสาวคนโตของคุณประพันธ์ ภัทรประสิทธิ์ นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์และผู้บุกเบิกตลาดสี่มุมเมืองที่เปิดมาแล้วกว่า 37 ปี และเป็นตลาดค้าส่งผักผลไม้ชั้นนำแห่งอาเซียน
คุณน้ำคว้าปริญญาจากสองมหาวิทยาลัยไอวีลีกในสหรัฐอเมริกา โดยเธอเรียนจบปริญญาตรีสาขา Sustainable Development และ Business Management จาก Columbia University แล้วกลับมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานด้านมาร์เก็ตติ้งอีก 3 ปี แล้วจึงบินไปเรียนต่อปริญญาโท MBA จาก Harvard Business School ก่อนจะกลับมาเป็นมือขวาของคุณพ่ออย่างเต็มตัว “โปรเจกต์ตลาดสี่มุมเมืองยุคใหม่เริ่มต้นตั้งแต่ก่อนน้ำกลับมา พอน้ำเข้ามาช่วยเราก็คิดว่าต้องเสริมเรื่อง Product Standard, Safety, and Traceability เข้าไป เพราะในวันหนึ่งๆ มีผักผลไม้กว่า 7,000 ตัน ที่เข้ามาซื้อขายในตลาด ถือเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของผัก ผลไม้ที่บริโภคต่อวันในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเลยทีเดียว”
“เป้าหมายของน้ำคืออยากต่อยอดตลาดขึ้นไป อยากให้เราเป็นฮับ เป็นจุดศูนย์กลางของการกระจายผักผลไม้ไทยและต่างประเทศ ที่ยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง มีการซื้อขายที่สะดวกและยุติธรรม” แม้จะเข้ามาช่วยดูแลตลาดสี่มุมเมืองได้เพียง 6 เดือน และเธอก็ออกตัวว่ายังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้อีกมาก แต่จากฝีมือที่ผ่านมาทำให้คุณพ่อให้ความไว้วางใจลูกสาวคนนี้อย่างมาก จนคำว่า “ให้น้ำไปจัดการ” กลายเป็นคำพูดติดปากคุณพ่อ ไปแล้ว
พริษฐ์ จิตตโรภาส : บนเส้นทางการเมืองที่เชื่อว่า ‘Be Passionate, and Make a Difference’

เพราะสนใจและคลุกคลีกับการเมืองมาตั้งแต่วัยเรียน คุณเคิร์ฟ-พริษฐ์ จิตตโรภาส ก็มุ่งมั่นเดินตามรอยคุณแม่กรณิศ งามสุคนธ์รัตนา พรรคพลังประชารัฐ ทำงานด้านการเมืองต่อไป ด้วยดีกรีปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์จาก University of Exeter และปริญญาโทจาก Imperial College London ได้ร่วมเข้าทำงานพัฒนาประเทศด้านเศรษฐกิจอย่างเป็นจริงเป็นจัง คาดว่าในอนาคตอันใกล้เขาคงจะลงประเดิมสนามเลือกตั้งแรกในชีวิตกับบทบาทสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร
“การเมืองเป็นสปอร์ตไลต์ที่ประชาชนให้ความสนใจครับ เป็นเรื่องที่ดีที่เรามีช่องทางมากมายที่ให้ประชาชนได้ติดตามข่าวสารได้ตลอดเวลา อย่างช่องรัฐสภา เมื่อมีการอภิปรายงบประมาณ อภิปรายไม่ไว้วางใจ ผมมองว่าเป็นเรื่องดีที่ต่างฝ่ายต่างได้แสดงความคิดเห็นและผลงานของตัวเองออกมา ให้ประชาชนรับรู้และเป็นผู้ตัดสิน”
เห็นคุณเคิร์ฟทุ่มเทด้านการเมืองแทบไม่มีวันหยุดแบบนี้ ทำให้ต้องถามถึงธุรกิจร้านอาหารที่ช่วยทำกับน้องชาย ทั้งร้าน ‘Thay’ และ ‘ร้านที่เดิม’ ย่านเอกมัย ที่หลายคนรู้จัก “ธุรกิจอาหารตอนนี้น้องดูแลครับ ผมเป็นแค่ที่ปรึกษา เพราะเราอยากโฟกัสเรื่องงานการเมือง เข้ามาช่วยงานคุณแม่ทำงานในหลายด้าน ซึ่งผมได้นำความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ที่ผมชอบและได้เรียนมามาประยุกต์ใช้ในกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจและกรรมาธิการรัฐวิสาหกิจ อีกเรื่องที่ได้เข้ามาช่วยคือ เนื่องจากทีมคุณแม่ที่อยู่กันมานานเป็นรุ่นที่ไม่ถนัดเรื่องการสื่อสารและโซเชียลมีเดีย ผมได้เข้าไปช่วยทำงานตรงนี้ โดยเปิดช่องทางเพิ่มให้คนเข้ามาร้องเรียนและเสนอแนะครับ” เรียกว่าแม้ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจอาหาร แต่คุณเคิร์ฟย้ำว่างานหลักของเขาคืองานการเมือง และมีฝันของคนรุ่นใหม่ที่อยากเข้าไปในแวดวงนี้อย่างเต็มตัว ซึ่งเชื่อว่าความคาดหวังของเขาอยู่อีกไม่ไกลอย่างแน่นอน
พิมพิศา จิราธิวัฒน์ : ทายาทพันล้านสร้างธุรกิจด้วยเงินเก็บของตัวเอง

วันนี้คุณแพร์-พิมพิศา จิราธิวัฒน์ กำลังไฟแรงกับบทบาทใหม่ในตำแหน่ง Design Director ของธุรกิจครอบครัว โรงแรมเซ็นทารา ที่ต้องงัดความสามารถในการออกแบบด้านสถาปัตยกรรมที่ได้ร่ำเรียนมา อีกทั้งคุณแพรกำลังสนุกและร้อนวิชามากๆ กับการเป็นเจ้าของธุรกิจอย่างเต็มตัวทำให้ชุดออกกำลังแบรนด์ GIRLSNATION ที่เธอปลุกปั้นด้วยสองมือเป็นที่ยอมรับและติดตลาดด้วยยอดขายที่เจ้าตัวพึงพอใจในความสำเร็จ
แม้จะถูกเรียกว่าทายาทจากตระกูลจิราธิวัฒน์ บ้างก็คุณหนูพันล้าน แต่คุณแพร์บอกทุกคนเสมอว่าเธอเป็นคนธรรมดาติดดิน หาเงินใช้ด้วยตัวเองมาตั้งแต่วัยรุ่นด้วยการทำงานต่างๆ ทั้งถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา พิธีกร รวมไปถึงศิลปินนักร้อง และการเป็นเจ้าของธุรกิจตัวเองครั้งนี้ได้ทำให้คุณแพร์เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าเธอต้องไปต่อทางด้านบริหารธุรกิจ จึงเลือกหลักสูตร Entrepreneurship ที่ท้าทายความสามารถในการเรียนรู้ในมิติต่างๆ อย่างมากมาย
“สำหรับแพร์การมีแพสชั่นกับการทำงานอย่างมีความสุขต้องมีทั้งสองอย่างควบคู่ไปด้วยกัน แพร์ไม่อยากตื่นมาแล้วไม่อยากไปทำงาน ตัวเองปกติถ้าไม่อินกับอะไรก็จะไม่ทำ ทำให้เริ่มต้นพื้นฐานเลยคือเราต้องรู้สึกอยากเข้าไปทำ แล้วก็ทำแล้วมีความสุข ไม่ได้รู้สึกเหมือนโดนบีบบังคับ แพรเคยอ่านเรื่องราวของ owner หลายๆ คน เขาก็ไม่ได้ทำแค่ว่าเขาอยากรวย แต่แทบทั้งหมดประสบความสำเร็จเพราะได้ทำในสิ่งเขารัก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถสร้างความสำเร็จได้มาเป็นสิบ ยี่สิบ สามสิบปีหรอกค่ะ”
ภาณุสิชฌ์ ชมะนันทน์ : ปฏิวัติวงการสุขภาพด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน

ซีอีโอหนุ่มวัย 24 ปี คุณแพลน-ภาณุสิชฌ์ ชมะนันทน์ ผู้ก่อตั้ง Ever Medical Technologies บริษัทไอทีซึ่งปฏิวัติวงการสาธารณสุขทั้งในไทยและต่างประเทศ ด้วยนวัตกรรมแห่งเทคโนโลยีบล็อกเชน กระทั่งผู้บริหารในองค์กรระดับโลกอย่างสหประชาชาติ (UN) ถึงกับเดินทางมาศึกษางานเพื่อเป็นที่ประจักษ์ ก่อนเทียบเชิญให้ผู้บริหารคนเก่งปฏิบัติภารกิจนำร่องเพื่อมวลมนุษยชาติ
โปรเจ็กต์ใหญ่ของเขาคือการนำความรู้ด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งเก็บรักษาความลับของข้อมูลได้อย่างปลอดภัยสูงสุดมาผสานเข้ากับความสามารถส่วนตัวในการออกแบบและพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อส่งเสริมสุขภาพของคนไทย จนปัจจุบันเขาประสบความสำเร็จในการเชื่อมโยงฐานข้อมูลผู้ป่วยแล้ว 2.4 ล้านคน ใน 40 โรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ
“เรื่องธุรกิจมาทีหลังครับ เป้าหมายหลักคือผมอยากให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีขึ้น ที่ผ่านมาจึงเป็นลักษณะของการทำธุรกิจเพื่อสังคมเสียมากกว่า เพราะหาเงินได้เยอะๆ ก็ไม่รู้จะใช้ทำอะไร ผมก็ยังกินข้าวเซเว่นฯ เหมือนเดิมไม่ต่างจากคนอื่น” นอกจากแพลตฟอร์มเพื่อจัดระเบียบฐานข้อมูลของผู้ป่วยแล้ว คุณแพลนและพี่สาว คุณพริม-พิมพิศา ยังริเริ่มแพลตฟอร์มด้านการแพทย์เชิงท่องเที่ยวภายใต้ชื่อ ‘Ever Healthcare’ เพื่อให้บริการปรึกษาปัญหาสุขภาพและวางแผนการรักษากับแพทย์เฉพาะทางมือหนึ่ง พร้อมจองคิวแบบออนไลน์ ให้ผู้ป่วยเลือกเข้ารับบริการได้ทั้งที่ประเทศไทยและต่างประเทศที่มีโรงพยาบาลพันธมิตร
ภิพัชรา แก้วจินดา : เบื้องหลังแบรนด์เครื่องหนัง ที่สร้างรายได้แก่ชุมชนห่างไกลอย่างยั่งยืน

จากแพสชั่นที่เต็มไปด้วยความหลงใหลโลกแห่งแฟชั่น คุณเพชร-ภิพัชรา แก้วจินดา จึงมีอุดมการณ์ทางธุรกิจที่อยากสร้างให้แฟชั่นสามารถช่วยเหลือชุมชนได้แท้จริง จึงเป็นที่มาเรื่องเล่าความสำเร็จของแบรนด์เครื่องหนัง PIPATCHARA ด้วยฝีมือแฮนด์คราฟต์คนไทยที่บอกต่อได้ว่าสร้างรายได้แก่ชุมชนชาวแม่ฮ่องสอนเขตพื้นที่ห่างไกลได้อย่างยั่งยืน ภายใต้คุณภาพการผลิตที่ใส่ใจทุกรายละเอียดที่นำเทคโนโลยีมาร่วมสร้างประสิทธิภาพความสำเร็จของธุรกิจ
ประสบการณ์ด้านแฟชั่นหลายขวบปีตั้งแต่เรียน Master of Fine Arts ที่ Academy of Art University ในซานฟรานซิสโก กับการฝึกงานที่ Ralph Lauren นิวยอร์ก จากนั้นยังได้ทุนเรียนต่อพร้อมสั่งสมประสบการณ์ผ่านทั้งการเรียนและการทำงานที่ École de la Chambre Syndicale de la Couture Parisienne ณ กรุงปารีส พร้อมไปกับการร่วมงานกับแบรนด์ดังระดับโลกทั้ง Cholé และ Givenchy ประสบการณ์ที่ชี้นำทางสู่การก่อตั้งแบรนด์ PIPATCHARA ซึ่งคุณเพชรเริ่มต้นมาพร้อมพี่สาว (คุณทับทิม-จิตริณี แก้วจินดา)
คุณเพชรเล่าต่อว่าเมื่อได้กลุ่มครูในชุมชนที่มีฝีมือด้านถักทอ เธอก็ออกเดินทางไปสอนดีไซน์ใหม่ๆ ของงานถักทอพื้นถิ่นแก่ทุกคนด้วยตัวเอง “เพชรอยากสร้าง PIPATCHARA ให้เป็น Sustainability Brand ให้ได้อย่างเต็มตัว นั่นหมายความว่าการผลิตของเรา ตั้งแต่หนึ่งถึงสิบหากมีอะไรที่ทำลายสิ่งแวดล้อมต้องทำการแก้ไข ซึ่งตั้งเป้าไว้ภายใน 3 ปี เพชรอยากให้ทุกอย่างของแบรนด์ PIPATCHARA ช่วยสิ่งแวดล้อมไว้ได้ทั้งหมด ถ้าเป็นไปได้ในอนาคต เพชรอยากทำให้สินค้ารักษ์โลก 100%” และจากวันนี้ไปอีก 5 ปี คุณเพชรยังอยากสร้างโรงเรียนให้ชุมชนห่างไกลอีกด้วย
มธุนาฏ ซอโสตถิกุล : ศิลปินอิสระผู้พาตัวตนและพรสวรรค์สร้างความท้าทายใหม่ๆ

คุณผึ้ง-มธุนาฏ ซอโสตถิกุล ซึ่งฉีกแนวครอบครัวนักธุรกิจตระกูลซอโสตถิกุลกลายเป็นศิลปินสายอาร์ตได้บอกผ่าน HELLO! ว่า“คนเรายังมีเวลาอีกทั้งชีวิตที่จะค้นหาตัวเองค่ะ” เฉกเช่นตัวเธอที่เพิ่งค้นพบพรสวรรค์ในศิลปะแนว Illustrationเมื่อปีสองปีที่ผ่านมานี้เอง และนั่นได้เป็นจุดเริ่มต้นสู่เส้นทางศิลปิน Freelance Illustrator ที่ลายเส้นบนกำแพงในสไตล์เฉพาะตัวนั้นได้กลายเป็นซิกเนเจอร์ภายใต้ชื่อ ‘มธุนาฏดีไซน์’ อย่างแตกต่าง
คุณผึ้งเล่าถึงในครั้งแรกของการวาดบนกำแพง เธอยอมรับว่ากลัวมาก ตื่นเต้นมาก ไม่คิดว่าตัวเองจะเพนต์บนแคนวาสที่ขนาดใหญ่ยักษ์ได้ แต่เมื่อบอกตัวเองให้เชื่อว่า ‘ฉันทำได้’ ต้องสู้และต้องเชื่อในตัวเอง สุดท้ายเธอก็ทำได้จริงๆ
ด้วยค่อนข้างรู้ตัวเองว่าชอบด้านศิลปะมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการวาดรูป ร้องเพลง และการแสดง ทำให้คุณผึ้งขอฉีกแนวจากพี่น้อง ช่วงเรียนไฮสกูลจึงเลือกเรียนด้านศิลปะทั้ง Art Drawing และ
Textile Design และเรียนปริญญาตรีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ด้วยครอบครัวเป็นเจ้าของธุรกิจ ทำให้ดีกรีปริญญาโทมุ่งไปที่ด้าน Business Administration จาก Boston College
โดยลายเส้นบนกำแพงที่ร้าน Kuppadeli กับ Hive Salon สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ เป็นผลงานที่คุณผึ้งบอกว่าถูกเข้ามาทักถามมากที่สุดว่าเป็นลายเส้นของเธอใช่ไหม ถือเป็นกระแสตอบรับดีเกินคาด “คำว่าประสบความสำเร็จของคนแต่ละคนอาจจะต่างกัน สำหรับผึ้งการที่ได้เจอตัวเองแล้วทำให้มีงานที่เรารักเข้ามาเรื่อยๆ ถือเป็นความสุขของผึ้งแล้ว ไม่ต้องโด่งดังอะไรมากมาย เพราะเราต้องบาลานซ์ชีวิตส่วนอื่นๆ ของเราด้วย”
วจนพล บุญญลักษม์ : ผู้ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพลาสติกรักษ์โลก ด้วยระบบหุ่นยนต์อัจฉริยะ

หนุ่มวัย 30 ปีพอดิบพอดี คุณกราฟ-วจนพล บุญญลักษม์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานปฏิบัติการ บริษัท บางบอนพลาสติค กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนพลาสติกรายใหญ่ของประเทศไทย สำหรับอุปกรณ์ก่อสร้างและอุปกรณ์ไฟฟ้า เขาคือผู้นำพาธุรกิจครอบครัวสู่การเป็นโรงงานสีเขียว ที่สร้างสรรค์สินค้าภายใต้ความรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งทางด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมและการมอบความปลอดภัยสูงสุดต่อผู้บริโภค ร่วมด้วยระบบงานทันสมัยที่อาศัยเทคโนโลยีโรบอตเข้ามาพลิกโฉมการผลิตให้มีความรวดเร็วและแม่นยำ
ภายหลังเรียนจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คุณกราฟได้บินลัดฟ้าไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทถึง 2 ใบ หนึ่งคือดีกรีด้านธุรกิจระหว่างประเทศจาก Bournemouth University และสองคือทางด้านวิศวกรรมศาสตร์การผลิตจาก University of Warwick ประเทศอังกฤษ ก่อนที่จะกลับมาทำงานในฐานะลูกจ้างที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นยักษ์ใหญ่อยู่ถึงหนึ่งปีครึ่ง เพื่อเรียนรู้การทำงานเป็นทีมและวัฒนธรรมองค์กรแบบญี่ปุ่น ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อการทำงานสูง จนต่อมาได้มาสานต่อธุรกิจของครอบครัว
“ผมพยายามนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาในโรงงาน เพื่อเพิ่มผลผลิต อย่างการนำหุ่นยนต์เข้ามาช่วยระบบอัตโนมัติ เราทำงานได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น ลดต้นทุนได้” นอกจากนี้ คุณกราฟได้กล่าวถึงเป้าหมายในอนาคตว่า “ผมพยายามมองหาโอกาสทั้งในและต่างประเทศอยู่เสมอ ตั้งเป้าว่าจะนำพาธุรกิจไปสู่ตลาด AEC ภายในเวลา 3 ปีครับ รวมถึงอาจพิจารณาเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในอนาคตด้วย”
วสุวัส คูหาเปรมกิจ : นายห้างค้าส่งทองเจนฯ ใหม่ ผู้ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เข้าถึงใจลูกค้า

ขึ้นแท่นผู้บริหาร ‘ห้างทองจิ้นไถ่เฮง’ ธุรกิจ ค้าส่งทองมาหมาดๆ สำหรับคุณไท้-วสุวัส น้องเล็กแห่งบ้านคูหาเปรมกิจ ที่สื่อทั่วฟ้าเมืองไทยต่างพากันจับจ้องในฐานะน้องสามีสุดหล่อของคุณมิว-นิษฐา กล่าวกันว่าคุณไท้เป็นนักธุรกิจเลือดใหม่ที่น่าจับตา เพราะไม่เพียงเชี่ยวชาญในเครื่องมือการตลาดที่หลากหลาย แต่ด้วยไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบการเดินทางและหมั่นสังเกตพฤติกรรมผู้บริโภค เขาจึงได้เปรียบในการเข้าถึงใจลูกค้าเสมอ
“ผมอาศัยความรู้ด้านมาร์เก็ตติ้งที่เรียนมา รวมถึงประสบการณ์และวิสัยทัศน์จากการทำงานในบริษัทใหญ่ๆ มาออกแบบหลักการทำงานและการให้บริการ รวมถึงการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่เป็นร้านทองค้าปลีกให้ได้มากที่สุด ผมนำเอาเทคโนโลยีไอทีและโซเชียล มีเดียเข้ามาใช้ในการบริหารงาน ทั้งเพื่อช่วยให้เราเข้าใกล้ลูกค้าอย่างทั่วถึง และช่วยปรับปรุงระบบการทำงานภายในที่ป้องกันการทับซ้อน”
“ความท้าทายอีกด้านคือ People Management ครับ ที่ร้านมีทั้งคนเก่าแก่ที่ทำงานมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ ไปจนถึงพนักงานรุ่นใหม่ หน้าที่ของผมคือทำให้คนทุกรุ่นร่วมไม้ร่วมมือกัน และทำให้เขาเห็นเป้าหมายเดียวกันกับเรา ภารกิจนี้จึงถือว่าใช้ทักษะค่อนข้างเยอะ แต่ถือว่าเป็นงานที่สนุกมาก ช่วยวัดผลด้วยว่าที่เราอุตส่าห์ไปเป็นลูกน้องคนอื่นอยู่หลายปี มีเทคนิคอะไรที่เอามาปรับใช้กับทีมงานของเราได้บ้าง”
วัชรา ลี้โกมลชัย : ยกระดับข้าวไทยตอบโจทย์คนรุ่นใหม่

อาจด้วยยึดคติว่าถ้าตั้งใจทำสิ่งใดแล้วต้องศึกษาให้ลึกและมุ่งไปให้ถึงที่สุด กรรมการผู้จัดการกลุ่มบริษัท ซีแอลพี อย่างคุณน้ำมนต์-วัชรา ลี้โกมลชัย ทายาทคนสุดท้องจาก 4 พี่น้องของคุณมานพ ลี้โกมลชัย ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท ซีแอลพี บริษัทชั้นนำในการผลิตเครื่องสีข้าวและเครื่องจักรกลการเกษตร จึงเลือกเรียนด้านจิตวิทยา ทั้งปริญญาตรีและปริญญาโท ด้วยความชอบและความสนุกในการได้ขบคิดวิเคราะห์เรื่องราวในใจคน
แต่เมื่อเรียนจบปริญญาตรีจาก The University of Melbourne Bachelor of Arts, Majoring Psychology และ ปริญญาโทที่ Royal Holloway, The University of London, UK MSc Applied Social Psychology ด้วยวัยเพียง 21 ปี ภาพที่มองตนเองในอนาคตกลับแตกต่างออกไป ไม่ใช่สายการแพทย์หรือวิชาการเช่นเดิม เธอจึงตัดสินใจกลับเมืองไทย และเริ่มต้นเข้าทำงานที่เอพี ฮอนด้า ก่อนที่จะกลับมาดูแลกิจการของครอบครัว กว่า 6 ปีที่ผ่านมาถือได้ว่าเป็นการพลิกโฉมกลุ่มบริษัทไปอย่างมาก ทั้งเธอยังเพิ่มแบรนด์ใหม่ในกลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ได้รับเสียงตอบรับดีเกินคาดอีกด้วย
แม้ลุคจะเป็นสาวช่างแต่งตัว ทั้งยังมีธุรกิจให้เช่าชุดราตรีที่ทำร่วมกับพี่สาว ในชื่อ Style Statement แต่คุณน้ำมนต์ เป็นหนึ่งในขาลุย ในแต่ละปีเธอจะมีทริป ออนทัวร์ดูตลาดทั้งในไทยและต่างประเทศ เยี่ยมดีลเลอร์ ผู้ขาย เกษตรกร ไปงานเกษตรแฟร์ต่างๆ เพื่อดูความต้องการและทิศทางของเครื่องจักรกลที่ยังเป็นสินค้าหลักของบริษัท ซึ่งคุณมนต์ให้ความสำคัญกับขั้นตอนหลังการเก็บเกี่ยวเป็นพิเศษ และมองว่าการสีข้าวมีส่วนช่วยให้ได้ข้าวที่สดใหม่เสมอ นอกจากนี้เธอยังจับมือเป็นพาร์ตเนอร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้าวในแง่ต่างๆ ทั้ง Taiwa Seiki Corporation ผู้เชี่ยวชาญและผู้นำในตลาดเครื่องขัดข้าวและเครื่องสีข้าวแบบหยอดเหรียญในญี่ปุ่น ศาลานา วิสาหกิจเพื่อชุมชนที่เชี่ยวชาญเรื่องข้าว ฯลฯ
สถาพร วณิชวรพงศ์ : เรียนรู้ธุรกิจอาหารจากการลงมือทำจริง

กระแสเกาหลีฟีเวอร์ที่ฮิตต่อเนื่องมาหลายต่อหลายปี สร้างโอกาสให้ธุรกิจใหม่มากมาย หนึ่งในนั้นคือร้านอาหาร Dak Galbi ที่เสิร์ฟเมนูยอดฮิตชื่อเดียวกันจากแดนกิมจิ ซึ่งเมื่อ 7 ปีก่อนแทบจะหากินไม่ได้เลยในเมืองไทย ผู้ที่ปลุกปั้นแบรนด์ในตอนนั้นคือหนุ่มมาดเข้ม อดีตนักรักบี้โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ที่พ่วงดีกรีนายแบบ คุณนิค-สถาพร วณิชวรพงศ์ ซึ่งร่วมกับพี่ชายและทีม เปิดธุรกิจจากความชอบล้วนๆ และด้วยความรักจริง เพียง 3 ปีให้หลังยังสามารถขยายออกไปได้เกือบ 10 สาขา ปัจจุบันบริษัท ดัคกาลบี้ กรุ๊ป จำกัด เพิ่มแบรนด์ในเครือให้จับกลุ่มตลาดมากขึ้นและหวังว่าจะก้าวไปสู่การขยายสาขาในต่างประเทศอีกด้วย
แม้จะเป็นเรื่องยาก (มาก) แต่ร้าน Dak Galbi ก็ประสบผลสำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว สิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นกับทุกความท้าทาย เริ่มต้นตั้งแต่การได้พื้นที่ร้านสาขาแรกในสยามสแควร์ ริมฝั่งถนนอังรีดูนังต์ ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ทำเลทองที่เรียกว่าหินมากที่จะได้มา และหลังจากเปิดสาขาสยามสแควร์ได้เพียงไม่นาน กระแสตอบรับที่ได้เกินความคาดหมาย
“ผมมองว่าอาหารไทยน่าจะไปได้ทั่วโลก เหมือนที่ร้านอื่นๆ จากต่างประเทศมาบุกตลาดไทย เราเลยปรับให้อาหารของเราให้ไปทั่วโลกบ้าง เน้นความเป็นภัตตาคาร ไม่ได้เป็นอาหารที่กินได้ทุกวัน ธุรกิจของเรายังตอบโจทย์โลกออนไลน์ โดยนำแอพพลิเคชั่นมาให้ลูกค้ากดสั่งอาหารทางมือถือได้ สะดวกและตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มาก”
อัญชิสา วัชรพล : โจทย์ใหม่ของธุรกิจระดับพรีเมียมอันท้าทาย ของเธอที่กำลังเติบโตในตลาดความงาม

แทนที่จะเลือกวิธีง่ายเช่นการนำเข้าแบรนด์ความงามจากต่างประเทศ คุณมู่ลี่-อัญชิสา วัชรพล กลับเลือกเดินทางที่ยากกว่า ด้วยการปั้นแบรนด์ของตนเองจากศูนย์ พัฒนาจนกลายเป็นเครื่องสำอางน้องใหม่ในนาม Everpink เพื่อผู้หญิงมีสไตล์ทุกคน โดยเธอรับตำแหน่งเป็น Chief Executive และเจ้าของแบรนด์ เธอบอกว่า Everpink เป็นแบรนด์ที่เกิดขึ้นจาก ผู้หญิงรอบๆ ตัว โดยเฉพาะในขั้นตอนการพัฒนาโปรดักต์ นอกจากนี้สินค้าแต่ละชนิดเธอยังเทสต์ด้วยตนเอง
แม้จะไม่ได้ร่ำเรียนมาโดยตรง แต่ความรู้ที่ได้จากระดับปริญญาตรี คณะวารสารศาสตร์ ภาคอินเตอร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมถึงปริญญาโทสาขา Communications จาก Istituto Marangoni (London Campus) ที่เน้นในด้านแฟชั่นโปรโมชั่น ก็เข้ามาช่วยเสริมได้เป็นอย่างดี แต่ยังไม่เท่าความตั้งใจเกินร้อยที่ต้องการให้แบรนด์ออกมาดีที่สุด
แต่ละขั้นตอนในการทำแบรนด์ถือเป็นสิ่งที่ท้าทายตัวเธอเองเป็นอย่างมากเนื่องจากทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่เธอก็พร้อมที่จะทำเพื่อให้แบรนด์ก้าวไปอย่างดีและตรงกับสิ่งที่ตั้งใจมากที่สุด
เอกชัย สุขุมวิทยา : นักธุรกิจหนุ่มที่ไม่เคยหยุดคิดและปลุกปั้นลงมือทำ

เมื่อคุณเจ-เอกชัย สุขุมวิทยา ทายาทเจน 2 ของกลุ่มบริษัท เจ มาร์ท (Jaymart) ได้รับความไว้วางใจจาก คุณพ่ออดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) ให้ขึ้นนั่งแท่นเป็นหนึ่งในทีมผู้บริหารรั้งตำแหน่ง DCEO (รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร) ของอาณาจักรที่ประกอบด้วย 7 บริษัทในเครืออย่างเต็มตัว แสงสปอร์ตไลต์ก็สาดส่องจับตาหนุ่มนักธุรกิจคลื่นลูกใหม่ไฟแรงคนนี้
นอกจากนี้เขายังกระโดดลงมาสร้างธุรกิจใหม่ ตัวเอง นั่นคือ ร้านกาแฟชื่อดัง ‘Casa Lapin’ ซึ่งหลังจากเข้ามาเป็นหนึ่งในพาร์ตเนอร์ผู้ถือหุ้นหลักแล้ว คุณเจก็ปรับกลยุทธ์ทางการตลาด จนปัจจุบัน Casa Lapin ประสบความสำเร็จขยายไปกว่า 14 สาขา อีกทั้งเป็นร้านกาแฟสัญชาติไทยที่อาจต้องโกอินเตอร์ในอนาคต
คุณเจยอมรับว่าการเข้ามารับช่วงธุรกิจต่อนั้น ‘ยาก’ แต่ก็ท้าทายมากเช่นกัน “สภาพตลาดของธุรกิจเมื่อ 4 ปีที่แล้วกับตอนนี้คนละเรื่องเลย แต่ผมถือเป็นความท้าทายว่า จะทำอย่างไรให้บริษัทเติบโตต่อไปได้อีก โดยคุณพ่อผมเป็นคนสมัยใหม่ มีแนวคิดใหม่ๆ ตลอดเวลา ปรับตัวเร็ว เจ มาร์ทถูกปูทางมาแล้วว่าเราให้ความสำคัญกับการสร้างสิ่งใหม่ ทุกวันนี้คุณพ่อไม่มีเวลามาดูเรื่องการคิดโปรเจกต์ใหม่ๆ ต่อไปนี้ก็ เป็นผมที่ต้องคิด แต่เนื่องจากการจะสร้างอะไรขึ้นมาสักอย่างต้องใช้ทรัพยากรสูงมาก ผมจะใช้วิธีทดลองโปรเจกต์เล็กๆ ก่อน ถ้าทำดูแล้วไม่มีอนาคตก็ล้มไป แล้วก็ลองอันใหม่ ลองแล้วเวิร์กก็ทำต่อไปเรื่อยๆ”
ติดตามได้ในนิตยสาร HELLO! ปีที่ 15 ฉบับที่ 03 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 2563
หรือดาว์นโหลดฉบับดิจิตอลได้ที่ www.ookbee.com , www.shop.burdathailand.com