ตามไปดูบ้านสไตล์โมเดิร์นของ ‘แม่อุ๊ มณฑ์ลัชชา – พะเพื่อน ชุติมณฑน์ สกุลไทย’ ที่เต็มไปด้วยของสะสมวินเทจ
นับเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับสองแม่ลูกเซเลบริตี้สายแฟชั่น ‘แม่อุ๊-มณฑ์ลัชชา สกุลไทย’ และ ‘พะเพื่อน-ชุติมณฑน์ สกุลไทย จรัสรุ่งโรจน์’ ซึ่งปัจจุบันทั้งคู่ได้ผันตัวมาเป็นยูทูบเบอร์หน้าใหม่ที่มีผู้ติดตามเกือบ 8 หมื่นคน และล่าสุดยังได้เปิดบ้านหลังใหม่ที่เนรมิตสรรค์สร้างทุกมุมขึ้นมาอย่างละเอียดลออ วันนี้เราจึงจะขอพาทุกคนไปลัดเลาะทั้งนอกบ้านและในห้องของ บ้านหลังใหม่ ที่ แม่อุ๊ – พะเพื่อน สกุลไทย ภูมิใจนำเสนอ


ประตูเข้าบ้านที่ทุ่มงบไปกว่า 7 แสนบาท
ทันทีที่เดินก้าวพ้นเข้ามาถึงในรั้วบ้าน เราก็เห็นตัวบ้านขนาดสามชั้นตั้งสง่าอยู่ กรุกระจกโดยรอบเพื่อเปิดรับแสงธรรมชาติ ด้านหน้าล้อมด้วยสระว่ายน้ำขนาดย่อมที่ปูด้วยกระเบื้องสีเทอร์ควอยส์ ให้ความรู้สึกถึงบ้านสไตล์โมเดิร์นอย่างที่ปัจจุบันนิยม แต่ที่สะดุดตาผู้มาเยือนทุกคนมากที่สุดเห็นจะเป็น บานประตูไม้สักทอง ที่ทั้งหนา หนัก และแข็งแรง เนื่องจากแกนในของประตูไม้นั้นประกอบขึ้นจากเหล็กกล้า
“ประตูบานนี้เอาเข้าจริงไม่ได้แพงที่ไม้ แต่แพงที่แผ่นเหล็กด้านใน ตอนแรกเขาบอกราคามาว่า 3 แสนกว่าบาท เราโอเค แต่ทำไปทำมากลับบานปลายกลายเป็น 7 แสนกว่าบาท เครียดเลย” คุณอุ๊-มณฑ์ลัชชา สกุลไทย เจ้าของบ้านพูดขึ้นเมื่อเราถามถึงประตูอันสุดแสนเท่บานนี้ มันเป็นประตูไม้สีจริงแบบเรียบๆ ดูหรูเพราะติดที่ล็อคแบบใช้รหัส “แต่พอทุกคนบอกว่าชอบประตูเพราะมันเท่ ก็เลยหายเครียด” คุณอุ๊พูดหลางยิ้ม


ของสะสมประจำบ้านสายแฟ
หลังผลักบานประตูไม้สักทองเข้ามา ก็พบกับพื้นที่ใช้สอยโอ่โถ่งขนาดกว่า 1 พันตารางเมตร เพดานห้องรับแขกด้านหน้ายกสูง มีแสงจากภายนอกลอดส่องเข้ามาได้ทั่วถึง ชวนให้รู้สึกปลอดโปร่งน่าอยู่ เมื่อหันไปทางซ้ายจะพบกับคลังแสงของสองแม่ลูกแฟชั่นนิสต้าอย่าง ห้องเก็บรองเท้า ที่สามารถจุได้มากถึง 400 คู่เลยทีเดียว
สาเหตุที่แม่อุ๊และพะเพื่อนชอบสะสมรองเท้ามากขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทั้งสองคนใส่รองเท้าไซส์เดียวกัน “เดี๋ยวนี้เราใส่รองเท้าส้นสูงไม่ได้แล้ว ต้องส้นเตี้ยเท่านั้น ก็เลยแบ่งกันใส่กับลูก ห้องนี้เราต้องติดพัดลมดูดอากาศ 2 ตัวด้วยกัน เปิดสลับกันตัวละ 12 ชั่วโมง เพื่อให้อากาศในห้องถ่ายเท รองเท้าจะได้ไม่อบ”
จากนั้นคุณอุ๊นำเราเดินไปยังห้องรับแขกซึ่งมีโซฟารูปทรงดอกไม้สีสันสดใส ที่เธอซื้อจากร้านนำเข้าจากต่างประเทศมาเก็บไว้เมื่อ 20 ปีก่อน แม้ว่าลูกสาวจะทัดทานเพราะเกรงว่าจะไม่เข้ากับบ้าน ทว่าคุณอุ๊ยังคงยืนกรานว่าจะไม่ทิ้ง
คุณพะเพื่อนที่ตามมาสมทบบอกเราว่า “ตอนนั้นหนูมองภาพไม่ออกว่า จะเข้ากับบ้านเรายังไง แต่แม่หวงมากไม่ยอมทิ้ง ก็เลยให้โจทย์อินทีเรียร์ดีไซเนอร์เขาไปว่า เราจะทำยังไงให้เข้ากับบ้าน เขาบอกว่าสบายมาก เพราะบ้านเป็นสีขาว ไม่ว่าใส่อะไรเข้าไปมันก็ได้”
“แล้วสีมันก็เข้ากับ Bearbrick ด้วยไง” คุณอุ๊เสริม เธอบอกเราว่า ทั้งเซ็ทมาจากอิตาลีราคาชิ้นละหลายแสนบาท แต่จำชื่อแบรนด์ไม่ได้แล้ว ส่วนตัวสีเหลืองนั้นมาจากจีน ซึ่งคุณอุ๊ไปเห็นใน IG “พอเห็นเป็นดอกไม้ แล้วราคาก็น่ารักมาก แค่หลักหมื่นก็เลยตัดสินใจซื้อทันที เพราะเราไม่ได้ติดแบรนด์ แค่ขอให้มันเข้าชุดกัน นั่งได้จริง และเข้ากับบ้านก็พอค่ะ”

นอกจากนี้ยังตกแต่งด้วยปั๊มน้ำมันของจริงที่เขาไม่ใช้แล้ว ซึ่งคุณอุ๊บอกว่าตอนที่ขนย้ายมากลิ่นน้ำมันยังหึ่งอยู่เลย ซึ่งเธอได้มาจากการไปเดินตลาดรถไฟที่จตุจักรแทบทุกอาทิตย์ พร้อมกับจาน แก้วเบียร์ ตู้เพลง เครื่องสล็อตแมชชีน “ยังอยากได้อะไรเพิ่มอีกรู้ไหมคะ” คุณอุ๊ถามเรา ก่อนจะตอบเองว่า “ตู้เกมส์ค่ะ แต่ถามว่าจะวางไว้ตรงไหนไม่รู้เหมือนกัน”
ผนังแทบทุกด้าน รวมทั้งชั้นลอยซึ่งกรุกระจกได้กลายเป็นที่วางตุ๊กตา Bearbrick ตั้งแต่รุ่นแรกๆ จนถึงปัจจุบัน โดยคุณแม่อุ๊เป็นผู้จุดประกายให้ลูกสาวเก็บสะสม “บางคนก็ชอบสะสมภาพวาด เรามาเก็บ Bearbrick เพราะรู้สึกว่าเป็นงานศิลปะเหมือนกัน อย่างรูปหนุมานเป็นของพี่ก้อง (กรุณ ซอโสตถิกุล) ออกแบบ ซื้อมา 1.7 หมื่นบาท หรือของพี่ชมพู่ (อารยา เอ.ฮาร์เก็ต) ราคา 1.9 หมื่นบาท ตอนนี้ปาไปแสนกว่าบาทแล้วค่ะ หรืออย่างมิคกี้เมาส์หน้าเหลืองมีคนถามหามาก ตอนนี้น่าจะ 5 แสนบาทแล้ว” คุณพะเพื่อนบอกเรา
โซฟาหนังสีควันบุหรี่ที่นั่งแล้วให้ความรู้สึกเหมือนถูกดูดวิญญาณ เพราะแม้จะบุหนัง ทว่าเวลานั่งแล้วเย็นสบายพร้อมที่จะเคลิ้มหลับได้ทุกเมื่อ หลายคนคาดว่าน่าจะนำเข้าจากต่างประเทศ แต่จริงๆแล้วเป็นแบรนด์ไทยในราคาย่อมเยาว์กว่ามาก ส่วนโต๊ะรับประทานอาหารเป็นไม้เว็งเก้แผ่นใหญ่จากแอฟริกา อันเป็นไม้ที่สูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยเป็นเวลานานมากแล้ว


ห้องนอนแบบ Modern Loft
หลังจากขึ้นลิฟต์มายังชั้นบนสุด ก็จะเจอกับอาณาจักรส่วนตัวของคุณพะเพื่อนและ คุณเต้-สุรัตน์ จรัสรุ่งโรจน์ ผู้เป็นสามี เขาเป็นทายาทรุ่นที่สองของธุรกิจอะไหล่รถบรรทุก ซึ่งเปิดมาได้ 30 กว่าปีแล้ว และกำลังจะเปิดสาขาที่ชลบุรี
สิ่งที่โดดเด่นในห้องนี้ก็คือ โซฟาหนังสีน้ำตาลอ่อน ดูดวิญญาณแบบเดียวกับโซฟาชั้นล่าง และบาร์เครื่องดื่มยาวเต็มผนังด้านหนึ่ง อันเป็นมุมที่คุณเต้ขอศรีภรรยาเอาไว้ เพราะเจ้าตัวชอบดื่มจินโทนิค เมื่อถามเขาว่าชอบมุมไหนมากที่สุด เขาบอกเราว่า “ส่วนตัวผมชอบ Living Area กับครัวครับ เพราะเวลาเพื่อนๆ เรามาจะอยู่ในโซนเหล่านี้เป็นหลัก นอกนั้นก็เป็นบาร์ในห้องนอน ที่ผมขอให้เขาทำ บางวันถ้าผมกลับถึงบ้านเร็ว ก็จะทำอาหาร แม้ว่าจะทำได้หมด แต่ไม่ถึงกับอร่อยทุกอย่าง”

ที่โดดเด่นอีกอย่างของชั้นนี้ ก็คือราวแขวนกางเกงยีนส์ที่อยู่ใน Walk-in Closet ซึ่งคุณอุ๊และคุณพะเพื่อนได้แรงบันดาลใจจากราวแขวนเสื้อในช็อปของ BALENCIAGA ที่ลอนดอน ซึ่งเป็นราวหมุนอัตโนมัติติดมอเตอร์ไฟฟ้า แต่เมื่อกลับมาถามช่างที่ไทยแล้ว หากติดมอเตอร์ไฟฟ้าไหนจะต้องเพิ่มเงินอีกหลายแสนบาทแล้ว เมื่อไรที่เกิดขัดข้องยังต้องรื้อฝ้าเพดานเพื่อซ่อมอีกด้วย เลยตัดสินใจลดทอนจากราวหมุนอัตโนมัติกลายเป็นราวอัตโนมือแทน
คุณพะเพื่อนบอกเราว่า เธอชอบยีนส์มาก มีกางเกงยีนส์มากกว่า 200 ตัวเลยทีเดียว ส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์ Off-White, Ralph Lauren และ Chrome Hearts ซึ่งเป็นแบรนด์ขวัญใจของเธอ ส่วนเสื้อผ้าของคุณเต้เก็บอยู่ไหนนั้นคุณพะเพื่อนเป็นคนจัดหาที่วางให้ เวลาคุณเต้จะใช้อะไรก็บอกภรรยา เพราะเขาเองก็ไม่ทราบ
ชั้นเดียวกันนี้ยังมีห้องเด็กที่ตอนนี้เป็นห้องนอนแขกชั่วคราว “ตอนนี้เพื่อนๆ เราครองแล้วค่ะ เวลาทำงานจนดึกแล้วรุ่งขึ้นต้องตื่นเช้า ก็จะให้เขานอนที่นี่ค่ะ เพราะพ่อแม่เพื่อนที่รู้ว่าลูกมาบ้านพะเพื่อน จะไม่ห่วง นอนกี่คืนก็ได้ เพราะเขารู้ว่ามีแม่อุ๊อยู่ด้วย ไม่ต้องห่วง” คุณอุ๊เล่า
คุณพะเพื่อนเพิ่มเติมว่า “บางทีเพื่อนก็ไม่ได้มาหาหนูหรอกค่ะ มาหาแม่ เพื่อนสนิทหนูทุกคนมี Finger Print เข้าบ้าน มีรีโมทเข้าบ้านหนู เดี๋ยวเอาแล้ว แปดโมงครึ่งจะมากดกริ่งหน้าห้องนอนหนู แล้วเพื่อนพวกนี้ก็สนิทกับสามีหนูด้วยค่ะ เพราะว่าอยู่กลุ่มเดียวกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ก็เลยสนิทกับเราทั้งคู่”


เปิดโชว์รูม Hermes
ห้องนอนของคุณอุ๊สร้างความรู้สึก “ทึ่ง” ประทับลงในความรู้สึกของผู้ที่ได้พบเห็น เพราะผนังทั้งสองด้านตั้งแต่พื้นจรดเพดานปิดด้วยบานกระจกใส มองเห็นด้านหนึ่งเต็มไปด้วยกระเป๋า Birkin และ Kelly หนังจระเข้ของ Hermes หลากสี แต่ที่สะดุดตาก็คือ Kelly Himalayan ที่ซื้อมาในราคา 3.4 ล้านบาท ปัจจุบันราคาขึ้นเป็น 7 ล้านบาทแล้ว ส่วน Birkin Himalayan คุณอุ๊ซื้อเมื่อสิบกว่าปีก่อนในราคา 2.1 ล้านบาท บัดนี้ราคา 7 ล้านกว่าบาทเช่นกัน
“ตอนตัดสินใจซื้อ คิดแล้วคิดอีก ถึงกับปาดเหงื่อมือสั่นเลยค่ะ แต่ตอนนั้นคนแย่งกันมาก แล้วเราอยู่ในรายชื่อต้นๆที่สามารถซื้อได้ ถ้าเราไม่เอา ยังมีคนรออยู่อีกเป็นสิบเลย ที่เขาให้สิทธิ์เราก่อน เพราะคาแรคเตอร์เราเหมาะกับกระเป๋าเขา ก็เลยกลายเป็นช่องทางการลงทุนอีกแบบค่ะ” นักลงทุนผู้มองการณ์ไกลบอกเรา
ถามว่าเธอยังจะซื้อต่อไปอีกหรือไม่ คุณอุ๊บอกเราว่า “สำหรับ Birkin กับ Kelly ตอนนี้ราคาสูงขึ้นมาก สู้ไม่ไหว คิดว่าจะหยุดแล้ว แต่ตอนนี้อยากได้ Picotin ราคาแสนกว่าบาท ที่เดี๋ยวนี้เริ่มหายากแล้ว”
ส่วนผนังอีกด้านจัดวางกระเป๋า CHANEL, LV, Goyard, Kate Spade, GUCCI และ Dolce & Gabbana ซึ่งคุณอุ๊สะสมกระเป๋ารุ่นแจ่มๆ ของแต่ละแบรนด์เอาไว้ ตรงกลางเป็นตู้โชว์เครื่องประดับที่เธอสั่งทำเป็นพิเศษถึง 2 ตู้ เพราะตู้เดียวไม่พอ ดูแล้วแพลินตาดี
เมื่อเดินลึกเข้าไปก็จะเป็นตู้เสื้อผ้าบานไม้กรุไม้สานสีขาวล้วนปิดทับด้วยกระจกใส มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อเปิดออกก็จะเจอเสื้อผ้าของ Comme des Garcon, BIYAN, Junya Watanabe ซึ่งคุณอุ๊เป็นแฟนประจำของ 3 แบรนด์นี้เท่านั้น นอกจากนี้ทั้งคุณอุ๊และคุณพะเพื่อนยังมีตู้เสื้อผ้าเต็มผนังด้านนอกห้องตัวเองเพิ่มอีกด้วย
“เวลาช็อปกับลูกไม่มีใครยั้งใคร แต่โชคดีที่พะเพื่อนเป็นคนคิดเยอะเวลาจะซื้ออะไร ไม่ใช่สักแต่ว่าจะซื้อ ไม่เหมือนแม่ แม้ลูกจะยั้งแล้วก็เอาไม่อยู่ ถ้าแม่ชอบก็จบ แต่ขอถามความเห็นลูกก่อนเพื่อความสบายใจ แต่แม่ก็ไม่ดื้อแพ่งนะ ก็ใช้เวลาพิจารณาก่อนเหมือนกันค่ะ” นักช็อปตัวยงบอกกับเรา แถมเวลาซื้อกระเป๋าให้ลูกสาวแล้ว ถ้าคุณพะเพื่อนยังไม่เปลี่ยนกระเป๋าสักที คุณแม่อุ๊ก็จะงอนลูกด้วยการบอกว่า ช่วยหยิบไปใช้หน่อย
“บางทีหนูก็ขี้เกียจเปลี่ยนกระเป๋า ไม่เหมือนแม่ที่จะเปลี่ยนทุกครั้งเวลาออกนอกบ้าน ถ้ายิ่งได้ใบใหม่มาแล้วใช้นานเกือบเดือน แม่ก็จะเอาแล้ว นี่ไม่ทราบว่ามีกระเป๋าใบเดียวหรือเปล่าคะ งอนที่ซื้อให้ลูกแล้วลูกไม่ใช้ แล้วพอเปลี่ยนปุ๊บหาย หนูก็จะไม่พูดอะไร แค่บอกว่าเปลี่ยนแล้วนะ” คุณพะเพื่อนฟ้อง HELLO! พร้อมรอยยิ้ม


ความสนิทที่ยิ่งกว่าแม่ลูก
ความสนิทที่แตกต่างจากแม่ลูกคู่อื่นของคุณอุ๊และคุณพะเพื่อน ก็คืออาการติดแม่ของคุณพะเพื่อน จนเป็นที่รู้กันในหมู่คนสนิท แม้ในยามที่คุณพะเพื่อนไปเรียนอังกฤษ ก็ยังต้อง FaceTime คุยกันตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน
คุณแม่เริ่มเปิดประเด็นก่อน “ถ้าไม่มี FaceTime เพื่อนคงไม่ไปมั้ง เวลาอังกฤษ 8 โมงเช้า เวลาไทยบ่าย 2 พะเพื่อนเปิดโทรศัพท์แล้ว”
คุณพะเพื่อน : “เคยโทรมาแล้วแม่ไม่รับสาย พอดีแม่ออกไปกินข้าวข้างนอก แล้วปิดเสียง หนูเลยโทรหาป้าหนิง (ปัญชลี เพ็ญชาติ) ป้าหนิงรับสายแล้วบอกว่าลูกคุณโทรมา ทำไมไม่รับสายหลานฉัน”
คุณอุ๊ : “จะเป็นสูตรเขาเลย ถ้าเขาตื่นเราต้องว่างแล้ว เขาจะโทรมาคุยตลอด ระหว่างอาบน้ำ แต่งหน้า แต่งตัว แล้วตอนออกไปข้างนอกเขาจะใส่หูฟังและบรรยายว่า เดี๋ยวลูกลงลิฟต์แล้วนะ กำลังจะไป TUBE นะ กำลังจะลง TUBE แล้วนะ วางสายก่อน ขึ้นจาก TUBE โทรใหม่ แล้วพอเริ่มเรียน ถึงได้วางหู เป็นแบบนี้ตลอด”
“ก่อนพะเพื่อนจะไปอังกฤษ เพื่อนเราบอกลูกไม่อยู่คุณอุ๊คงลั้ลลาเลยสิ ก็บอกลั้ลลาบ้าบออะไร นางโทรตามตลอดเวลา แม่ต้องนอนตี 2 นะ เพราะว่าเวลาอังกฤษ 2 ทุ่ม ต้องบ๊ายบายก่อนนอน จนเพื่อนๆ ลูกชิน และเราไม่ต้องห่วงเขาเลย เขาห่วงเราแทน มีอยู่วันนึงระบบล่ม เครียดเลย ต้องใช้ iPad โทรหาเขาแทน เวลาลูกไปไหนก็จะพาแม่ไปด้วย ทำให้เราไม่เหงาเลย เขาแต่งงานมาได้ปีหนึ่งก็ยังไม่ไปฮันนีมูนเลย”
คุณพะเพื่อน : “หนูกับเต้จะไปแล้วเจอโควิดก็เลยไม่ไป เราไม่ค่อยซีเรียสเรื่องการไปกันสองคน เพราะสุดท้ายเราชอบไปกันเยอะๆ มากกว่า เต้ชอบที่จะเอาครอบครัวเขาไป หนูเองก็ชอบเอาแม่ไป ก็เลยกลายเป็นแก็งค์ใหญ่”

