Home > Celebrity > Exclusive Interviews > บทบาทที่ต้องเปลี่ยน ในฐานะคุณพ่อลูกสองของ ‘เจย์ สเป็นเซอร์’

เรียกว่าเป็นคุณพ่อที่เห็นหน้าเห็นตากันเป็นประจำในงานสังคมเคียงข้างศรีภรรยาคนสวย ‘คุณเปิ้ล-จริยดี สเป็นเซอร์’ และยังรับบทคุณพ่อลูกสองไปหมาดๆสำหรับ ‘คุณเจย์ สเป็นเซอร์’ และทั้งคุณคู่เองก็หมั่นโพสต์ภาพลูกๆทั้งสองให้บรรดาพี่ป้าน้าอายลโฉมความน่ารักอยู่เป็นระยะ ด้านลูกชายวัยซน ‘น้องเจค-สรรพสิทธิ์ นิโคลัส สเป็นเซอร์’ ที่ปัจจุบันรับบทเป็นพี่ชายตัวน้อยก็คอยดูแล ‘น้องจาญา-ธรรมวิทย์ สเป็นเซอร์’ ได้เป็นอย่างดี

ความเป็น ‘พ่อ’ รู้สึกแทนกันไม่ได้

“การมีลูกทำให้ผมโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเพราะมีหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้น ไม่ใช่แค่กับภรรยาและลูก แต่กับตัวเองด้วย ทำให้ผมดูแลตัวเองมากขึ้น ผมใส่ใจในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจนน้ำหนักลงไปหลายกิโล ผมอยากแข็งแรง จะได้อยู่ดูแลลูกได้นานๆ ผมบอกตัวเองตลอดว่า มีหลายชีวิตที่พึ่งพิงเรามากขึ้นแล้วนะ จะทำอะไรต้องวางแผนระยะยาว คำนึงถึงอนาคตครอบครัว ตั้งแต่เรื่องบ้าน รถ โรงเรียนของลูก และอีกหลายเรื่องเลยครับ”

https://www.instagram.com/p/B6DqcFjlQDd/

คุณเจย์เล่าว่าน้องจาญามาในจังหวะที่ลงตัวสำหรับครอบครัวไม่ฉุกละหุกเหมือนคราวมีน้องเจคที่คลอดก่อนกำหนด 5 สัปดาห์  “เราเลี้ยงเจคกี้กันเองอยู่ 6 เดือน ยอมรับ ว่าเหนื่อยมาก ต่อให้มีใครแนะนำอะไรมา แต่บางสถานการณ์ก็นำมาใช้ไม่ได้ ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากันไป ทำให้เครียด พักผ่อนไม่พอ ช่วงแรกเราหงุดหงิดใส่กัน โทษกันไปมาโดยไม่รู้ตัว ไม่ให้อภัยกัน แต่สุดท้ายเราค่อยๆ เรียนรู้หน้าที่การเป็นพ่อเป็นแม่ไปด้วยกัน ก็พอดีกับที่มีแนนนี่มาช่วยจึงทำให้เราผ่านสถานการณ์นั้นมาได้

“ผมกับเปิ้ลทำงานด้วยกันที่วูฟแพค เราทำอยู่ในแวดวงครีเอทีฟ การไปอีเวนต์ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของงาน พอเรามีลูก การแบ่งเวลาเป็นสิ่งสำคัญมาก จากที่เคยไปงานพร้อมกัน ก็ต้องวางแผนว่าใครจะไปงานไหนเพราะอีกคนต้องอยู่บ้าน อย่างช่วงนี้ที่เปิ้ลยังต้องให้นมลูกอยู่ที่บ้าน ผมก็ลุยงานเต็มที่ และพยายามแบ่งเบาหน้าที่ของเปิ้ล

“ผมว่าตัวเองเป็นพ่อที่ดีขึ้นเป็นสิบเท่าเลยครับ เมื่อก่อนปล่อยให้ภรรยาและพี่เลี้ยงดูแลเจคกี้มากกว่า แต่ตอนนี้ไม่อยากให้เจครู้สึกว่าน้องมาแย่งความรักของทุกคนไปจากเขาเพราะเขาเคยเป็นศูนย์กลางของบ้านมาตลอด คืนแรกๆ ที่นอนด้วยกัน ลูกถามหาแม่ เพราะเขาเป็น mommy’s boy ก็ต้องอธิบายให้ฟังว่าแม่ต้องให้นมน้อง ไม่กี่วันลูกก็ปรับตัวได้ อีกสิ่งที่สำคัญคือการทำทุกอย่างให้เป็นกิจวัตร” นั่นคือการไปส่งลูกที่โรงเรียน อาบน้ำกับลูกตอนเย็น และอ่านนิทานด้วยกันก่อนนอน 

คุณพ่อเจย์ และน้องเจค

“ตอนนี้เราสองคนสนิทกันมากขึ้น ผมคือพระเอกของลูก เขาต้องพึ่งพาผม แต่ต้องไม่ให้รู้สึกห่างเหินกับแม่ด้วย ผมแค่ทำเหมือนที่เปิ้ลเคยทำ เช่นบางทีก็ซื้อของที่ลูกชอบแล้วบอกว่าแม่ซื้อมาฝากนะ หรือชวนเจคมาดูน้อง ให้เขารู้ว่าตัวเองเป็นพี่ชาย ต้องปกป้องน้องนะ แล้วเขาจะภูมิใจ พอได้เลี้ยงลูกเองอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เลยได้รู้ว่าเราต้องเป็นทั้ง good cop bad cop/ very bad cop/ super nice cop ต้องสลับหน้าที่กันไปมา

“พ่อแม่ก็เหมือนต้นไม้ เป็นหลักที่แข็งแรงและมั่นคงให้ลูกยึด ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักที่จะลู่ตามแรงลมปรับประยุกต์วิธีการเลี้ยงลูกไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเลือกที่เหมาะสมและรับได้มาใช้ ซึ่งก็ต้องปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ขึ้นอยู่กับว่าวิธีไหนจะเวิร์กและลงตัวสำหรับครอบครัวเรา เพราะแต่ละบ้านก็มีเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป”

 

เลี้ยงลูกสไตล์ ‘สเป็นเซอร์’

“ทุกคนได้รับการถ่ายทอดความรู้จากพ่อแม่ เพียงแต่สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป การสอนให้ลูกรู้จักคิดและเข้าใจในสิ่งต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็น เพราะโลกเปลี่ยนตลอด ในวันที่เขาไม่มีเรา ลูกจะได้ใช้ชีวิตเองได้ ถ้าผมอยากให้เขาทำหรือไม่ทำอะไร จะบอกเหตุผลลูกเสมอ ไม่เคยคิดว่าเขายังเล็ก อธิบายไปก็ไม่เข้าใจ ผมเชื่อว่าเด็กทุกคนเข้าใจว่าสิ่งไหนดีไม่ดี เพียงแต่เขายังบอก
ไม่ได้ว่าเพราะอะไร อย่างบ้านเรามีหมา 3 ตัว เจคอยากอวดพ่อว่าเล่นกับบะหมี่ (สุนัขพันธุ์บีเกิล อายุ 12 ปีของบ้าน) แต่เขาก็เล่นแรงตามประสาเด็กที่พลังเยอะ เลยต้องบอกเขาว่าบะหมี่เป็นพี่สาวคนโตนะ เป็นลูกคนแรกของพ่อแม่ ตอนนี้บะหมี่แก่มากแล้ว เล่นแรงๆ กับเขาไม่ได้ เจคก็เข้าใจและไม่เคยทำอีก

“ยอมรับว่าครอบครัวเราก็ยึดไอแพดเป็นตัวช่วยดูแลลูกตอนที่เราเดินทาง ทริปไกลๆ เพราะนี่คือสิ่งที่ดึงดูดความสนใจจากเจคได้เป็นเวลานานๆ ซึ่งปกติเราอนุญาตให้เขาใช้ไอแพดเป็นเวลาเพื่อไม่ให้เขาติด ฉะนั้น เมื่อไหร่ที่ยื่นให้ นี่คือนาทีทองของเขา หรือบางครั้งที่เราไปดินเนอร์ร้านหรู อยากมีเวลาส่วนตัวบ้าง ก็ใช้วิธีนี้ เราไม่ได้รู้สึกดีที่เลี้ยงลูกด้วยวิธีการนี้ แต่การเลี้ยงลูกต้องปรับไปตามสถานการณ์และตามเงื่อนไขของแต่ละครอบครัวเป็นสำคัญ

“เมื่อไหร่ที่ลูกทำดี พ่อแม่ก็ต้องชมเชย และบางครั้งเราก็มีรางวัลให้ เขาจะได้เข้าใจว่าเขาทำสิ่งที่ถูกต้อง นี่อาจเป็นแค่จิกซอว์หนึ่งของความเป็นครอบครัว แต่มันคือกระจกสะท้อนถึงความเป็น
ตัวเราให้คนอื่นได้เห็น ผมถึงสอนให้เจคช่วยเหลือตัวเอง แม้เราจะมีพี่เลี้ยงแต่ก็ไม่ปล่อยให้เขาทำทุกอย่างให้ลูกเรา ผมปลูกฝังให้ลูกกล้าที่จะคิด พูด และแสดงออกมา”

 

เมื่อ ‘ลูก’ สอน ‘พ่อ’ 

“มีปีนึงครอบครัวผม ครอบครัวน้องสาว และครอบครัวเพื่อนไปเที่ยวเลโก้แลนด์ที่อังกฤษกัน ด้านในเป็นพื้นที่โซนสวนน้ำขนาดใหญ่ ผมกับน้องเขยพาลูกๆ ไปเล่นในนั้น โดยเรายืนรอและคอยมองอยู่ด้านนอก ส่วนเปิ้ลกับน้องสาวผมนั่งดื่มกาแฟเลี้ยงหลานรออยู่ด้านนอก ผ่านไปสักพักจู่ๆ มีเด็กคนนึงใช้ปืนฉีดน้ำฉีดเข้าหน้าผม ด้วยความโมโหผมเลยเดินเข้าไปต่อว่าเด็กคนนั้น ทำให้ผมละสายตาจากลูกไป แต่ก็แค่ไม่กี่วินาที พอเดินกลับมาผมมองหาเจคไม่เจอ ทีแรกก็ยังไม่ตกใจเพราะมีเด็กเล่นกันอยู่เยอะมากจริงๆ ผ่านไปสักสองนาทีก็ยังมองหาไม่เจอ เลยบอกให้น้องเขยที่เจอลูกเขาแล้วช่วยมองหาเจค โดยแยกมองกันคนละฝั่ง หากันอยู่ร่วม 5 นาที แต่ละวินาทีช่างยาวนานมากในความรู้สึกของผม ในชีวิตไม่เคยรู้สึกเหมือนใจหล่นไปที่ตาตุ่มมาก่อน ผมเหมือนคนท้องว่าง อยากจะอาเจียนออกมา เราช่วยกันมองหาแต่ก็ไม่เจอสักที ผมเลยให้น้องเขยรออยู่ตรงนั้นและช่วยมองหาเจคต่อไป ส่วนผมไปเดินตามหาลูก”

น้องเจค และน้องสาววัยเบบี๋ ‘น้องจาญา-ธรรมวิทย์ สเป็นเซอร์’

ขณะที่คุณเจย์กำลังวิ่งพล่านตามหาลูกชาย คุณเปิ้ลก็เดินจูงมือน้องเจคกี้กลับเข้ามาโซน
สวนน้ำ “ตอนที่เห็นหน้าเจค ผมโล่งใจที่สุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้รู้ว่าอีกสักแป๊บคงต้องโดนภรรยาต่อว่าชุดใหญ่เป็นแน่ (หัวเราะ) ครั้งนั้นเปิ้ลไม่พูดกับผมเป็นวันๆ เขาโกรธมากที่ผมปล่อยให้ลูกคลาดสายตา สรุปว่าแค่ชั่วไม่กี่วินาทีที่ผมไปดุเด็กที่ฉีดน้ำใส่ผม ทำให้ผมไม่เห็นเจคที่เดินผ่านผมออกไปด้านนอกของสวนน้ำเพราะทางเข้าออกทางเดียวกัน แล้วโชคดีที่เปิ้ลซึ่งดื่มกาแฟเสร็จและกำลังเดินมาหาผมกับลูก เปิ้ลเดินมาเจอผู้ชายสองคนกำลังจูงเจคอยู่พอดี เราไม่รู้หรอกว่าทั้งสองคนนั้นมีเจตนาดีหรือร้าย แต่เปิ้ลรู้สึกว่าผมใส่ใจลูกไม่มากพอ”

เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญของครอบครัวที่จะไม่ปล่อยให้เกิดซ้ำขึ้นอีก “ผมสอนลูกว่าถ้าหลงกันให้รออยู่ตรงนั้น อย่าเดินตามหาพ่อแม่ ถ้าใครมาถามก็บอกรอพ่อแม่อยู่ แต่ถ้าใครจะพาไปไหนก็ให้ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือเลย แล้วผมก็สอนให้ลูกบอกบ้านเลขที่และซอยได้ว่าอยู่ตรงไหน แหม…แต่ถ้าฝังจีพีเอสไว้ในตัวลูกได้ ผมก็จะทำทันทีเลย (หัวเราะ)”

คุณพ่อเจย์ และลูฏสาว ‘น้องจาญา-ธรรมวิทย์ สเป็นเซอร์’

ก่อนจบการสนทนา คุณเจย์หันไปมองน้องจาญาที่หลังถ่ายรูปเสร็จก็หลับพริ้มในอ้อมอกของภรรยาอย่างน่าเอ็นดู โดยมีน้องเจคนั่งเล่นของเล่นอยู่ใกล้ๆ กัน “แต่ถึงจะรักครอบครัวแค่ไหน ผมก็ยังต้องการเวลาส่วนตัว ยังเคยพูดเล่นกับเพื่อนๆ ว่า เวลาที่ผมจะได้อยู่คนเดียวจริงๆ คือตอนเข้าส้วม นี่คือที่ของเราจริงๆ เลยอยากทำห้องน้ำสวยๆ (หัวเราะ) ไม่ใช่ผมไม่มีความสุขที่ได้ใช้เวลากับภรรยาและลูกหรอกนะ แต่ทุกคนต้องการเวลาส่วนตัว แม้ว่าการกลับบ้านจะได้กอดได้หอมได้อุ้ม หรือเล่นกับลูกๆ ทำให้ผมมีความสุข ได้ยิ้มและได้หัวเราะ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความเหนื่อยจากการทำงานหายไปด้วยนะครับ เพราะในหัวผมจะคิดเลยว่า เดี๋ยวต้องพาลูกอาบน้ำ เล่านิทานให้ลูกฟัง พาลูกเข้านอนอีก แต่ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน นี่คือหน้าที่เรา พ่อคนอื่นอาจบอกว่าแค่เห็นลูกก็หายเหนื่อยแล้ว แต่ผมแฮปปี้ที่เห็นลูกแต่ไม่หายเหนื่อยนะครับ” คุณเจย์หัวเราะปิดท้ายการสนทนาอย่างอารมณ์ดี

 

ติดตามได้ในนิตยสาร HELLO! ปีที่ 14 ฉบับที่ 15  ประจำวันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม 2562

หรือดาว์นโหลดฉบับดิจิตอลได้ที่  www.ookbee.com www.shop.burdathailand.com

Never miss an update

Subscribe to our newsletter to get the latest updates.

No Thanks
You’re all set

Thank you for your subscription.