Home > Celebrity > Exclusive Interviews > นางฟ้านักกายภาพคลายทุกความ ‘ปวด’ .. ‘คุณดาวเรือง แซ่กอ’ แห่ง UNIQUE CARE SATION

หากจะเรียก ‘เธอ’ ว่าเป็นผู้หญิง ‘เก่ง’ และ ‘แกร่ง’ แห่งวงการกายภาพบำบัด ก็คงจะไม่เกินจริงนัก หากได้รู้ว่าเธอต้องต่อสู้ฝ่าฟันนับสิบปี กว่าจะได้เป็นเจ้าของคลินิกกายภาพบำบัดเกือบ 30 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งไม่มีคลินิกกายภาพไหนทำได้อย่างเธอ เธอพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า ความศรัทธาในวิชาชีพ การเป็นนักต่อสู้ที่ไม่ย่อท้อต่อสิ่งใด รวมถึงความสุขที่ได้รับจากการช่วยเหลือผู้คนที่ ‘เจ็บป่วย’ และ ‘เจ็บปวด’ เพื่อให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมีแรงบันดาลใจมาจากความต้องการให้ทุกคนปราศจากความเจ็บปวด ทั้งหมดนี้ทำให้ ‘คุณดาวเรือง แซ่กอ’ รู้ว่า การตัดสินใจเลือกเดินบนเส้นทางการเป็น ‘นักกายภาพบำบัด’ ในวันนั้น คือ คำตอบของชีวิตที่ทำให้เธอมีวันนี้ 

ขอทำตามฝัน

ดาวเรือง แซ่กอ นักกายภาพบำบัด
คุณดาวเรือง แซ่กอ

เราพบกันในเช้าวันหนึ่ง ท่ามกลางอากาศสดใสของกรุงเทพฯ ด้วยบุคลิกที่ดูสบายๆ เข้าถึงง่าย ทำให้เราได้พูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง ‘คุณดาวเรือง แซ่กอ’ ย้อนความให้ฟังถึงที่มาของการเลือกเรียนสาขากายภาพบำบัดว่า “ตอนใกล้จบมัธยมปลาย ดาวตั้งใจว่าจะเรียนต่อสาขาอะไรก็ได้ ที่ช่วยให้คนพ้นจากความเจ็บปวด และมีร่างกายที่แข็งแรง เพื่อใช้ร่างกายนั้นทำงาน จุนเจือครอบครัว เพื่อจะได้ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในครอบครัวน้อยลง และนำพาความสุขมาให้ โดยไม่เกิดผลกระทบกับสังคม

“กระทั่งเรียนจบมัธยมปลายโรงเรียนอาจสามารถวิทยา อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด จึงตัดสินใจเลือกเรียนคณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งช่วงที่เรียนปีสุดท้าย ได้มีโอกาสฝึกงานชุมชนโรงพยาบาลรัฐบาลในแม่สอด จังหวัดตาก ดูแลทั้งคนไทยและพม่าที่เข้ามารับการรักษา การที่เรารักษาให้เขาหายเจ็บปวด สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ทำให้รู้สึกภูมิใจในตัวเองที่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ เพราะพื้นฐานนิสัยเราชอบพึ่งพาตัวเอง ช่วยผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก บางคนอาจบอกว่าอาการเจ็บปวดต่างๆ นั้น เดี๋ยวก็หายไปเอง ไม่ต้องทำกายภาพบำบัดหรอก ซึ่งอาจจะเป็นความจริง แต่จะไม่ดีกว่าหรือ ถ้าการทำกายภาพบำบัดช่วยให้เขาหายเจ็บปวดเร็วขึ้น นี่คือสิ่งที่ดาวคิดมาตั้งแต่ตอนนั้น”

ช่วงใกล้เรียนจบ เธอมีโอกาสฝึกงานที่โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่ง พร้อมกับทำงานพาร์ตไทม์เล็กๆ น้อยๆ ที่โรงพยาบาลเอกชนไปด้วย ก่อนจะตัดสินใจสมัครทำงานประจำที่บริษัทนำเข้าเครื่องมือการแพทย์ด้าน Aesthetic ความงามจากประเทศสหรัฐอเมริกา “ตอนนั้นดาวสอบได้ใบประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัดแล้ว จึงได้ทำงานในตำแหน่งสเปเชียลลิสต์ด้านเครื่องมือแพทย์ความงามนำเข้าจากอเมริกา โดยเรามีหน้าที่ขายเครื่องมือเหล่านั้นให้โรงพยาบาลขนาดใหญ่ และคลินิกต่างๆ ซึ่งเครื่องมือที่บริษัทนำเข้ามา เป็นเครื่องมือระดับไฮเอนด์ ราคาเครื่องละหลายล้านบาท ทำให้เราต้องศึกษาข้อมูล หลักการทำงาน วิธีการขายต่างๆ จนทำให้ได้วิชาจากการทำงานตรงนี้มามาก จนเรียกว่าแทบจะเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ทำให้มีวันนี้ก็ว่าได้ 

“ทำอยู่สองปี ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น ค่าคอมมิสชั่นก็ได้ไม่น้อย จนเริ่มมั่นใจในความสามารถของตัวเองว่า นอกจากการช่วยคนเรื่องกายภาพบำบัดแล้ว ด้านการขาย เราก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน ทำให้รู้สึกอยากเป็นเจ้าของกิจการ จึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทสำหรับผู้บริหาร Executive  MBA มหาวิทยาลัยรามคำแหง 

“เมื่อจบปริญญาโทแล้ว จึงพยายามมองหาโอกาสในการเป็นเจ้าของกิจการอยู่เสมอ พร้อมกับเก็บสะสมประสบการณ์จากการทำ Case Home ซึ่งเป็นคนไข้ที่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว และต้องทำกายภาพฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาใช้งานได้ใกล้เคียงปกติที่สุด ในโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตต่อเนื่องที่บ้าน โดยมีนักกายภาพมาดูแลฟื้นฟูร่างกายให้กลับเป็นปกติ”

การทำงานสองอย่างควบคู่กัน ทั้งงานขายเครื่องมือความงาม และการดูแลเคสที่ต้องฟื้นฟูด้วยการทำกายภาพบำบัด ทำให้เธอมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นๆ กระทั่งวันหนึ่ง รุ่นพี่เจ้าของคลินิกย่านอุดมสุข เตรียมย้ายไปใช้ชีวิตครอบครัวที่ต่างประเทศ ไม่มีใครทำคลินิกต่อ เธอจึงตัดสินใจทำคลินิกกายภาพแห่งนั้น ควบคู่ไปกับการทำงานประจำ และดูแลเคสคนไข้ที่บ้าน โดยมีเพื่อนนักกายภาพบำบัดสลับเข้ามาช่วยดูแลคลินิกด้วย 

ในครั้งนั้น เทรนด์ความสวยความงามจากภายในสู่ภายนอกกำลังมาแรง บวกกับเธอเป็นคนไม่หยุดพัฒนาตัวเองในการแสวงหาธุรกิจ จึงตัดสินใจเรียนปริญญาโท หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง (Master of Science Program in Cosmetic Science) มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง วิทยาเขตสาทร กรุงเทพฯ พร้อมกับริเริ่มธุรกิจเมดิคอลสปาของตัวเอง  โดยรวมคอสเมติก และสปาไว้ด้วยกัน ผสมผสานกับการทำกายภาพเพื่อฟื้นฟูเซลล์ต่างๆ ซึ่งทางกายภาพเรียกว่า ‘Fascial Release’ คือ การดูแลเนื้อเยื่อที่ห่อหุ้มกล้ามเนื้อ หากเนื้อเยื่อเหล่านั้นเกิดความตึง จะทำให้เส้นประสาททั่วตัวตึงไปด้วย เป็นอาการที่มักเกิดกับคนที่ทำงานต่อเนื่องทั้งวัน โดยนำศาสตร์ทั้งหมดประยุกต์เข้าด้วยกัน กลายเป็นการนวดอโรมา ขัดผิว ขัดหน้า บวกกับทำกายภาพบำบัดด้วย ขณะเดียวกันก็รับทำ Case Home ตามบ้านไปด้วยควบคู่กับงานขายอุปกรณ์ความงาม ก่อนจะลาออกจากงานประจำที่ทำได้แค่สามปี 

ช่วงเวลานั้น ต้องบอกว่า กิจการเมดิคอลสปาของเธอกำลังไปได้สวยทีเดียว ทว่า จู่ๆ เกิดเหตุการณ์นํ้าท่วมใหญ่กรุงเทพฯ บวกกับเธอแต่งงานและต้องย้ายไปใช้ชีวิตคู่ร่วมกับนักธุรกิจชาวระยอง (ภูพาน นันทิยะกุล) พร้อมทั้งดูแลลูกสองคน จึงตัดสินใจขายกิจการเมดิคอลสปาให้เพื่อนทำต่อ กระทั่งลูกๆ เริ่มโต คุณดาวเรืองและคู่ชีวิตจึงตัดสินใจส่งลูกเข้าโรงเรียนนานาชาติเปรมติณสูลานนท์ที่เชียงใหม่ โดยมีคุณพ่อ-คุณแม่ของสามีช่วยดูแลหลานๆ และแล้วเส้นทางการทำธุรกิจคลินิกกายภาพบำบัดแบบเต็มตัวจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

ขึ้นแท่นคลินิกกายภาพบำบัดอันดับ 1 ของไทย

เธอเล่าว่า “ด้วยความที่คุณภู (สามี) รํ่าเรียนมาทางด้านเศรษฐศาสตร์ ครอบครัวเป็นเจ้าของธุรกิจสวนยางพาราขนาดใหญ่ที่ระยอง มีปั๊มนํ้ามันทั้งในระยองและพิษณุโลก รวมทั้งธุรกิจอื่นของที่บ้าน แต่เป็นธุรกิจในกงสี ซึ่งเราไม่เข้าไปยุ่ง จึงชวนเขามาทำกิจการที่เราถนัด เขียน Business Plan และ Marketing Plan ภายในระยะเวลา 10 ปีว่าจะทำอะไร อย่างไร 

“หลักการของเราคือ เน้นการ ‘ทำให้ก่อน…ไม่ใช่ทำเพื่อเอา’ ซึ่งคุณพ่อของคุณภู (ไพฑูรย์ นันทิยะกุล) คอยให้คำปรึกษาในหลักการว่า การทำธุรกิจใดๆ ก็ตาม ให้คิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ ท่านอยากให้ช่วยคนไปก่อน อย่าคิดค่าบริการแพง และยังสอนด้วยว่าทำสิ่งใด ให้อดทน ดูกันไปยาวๆ ซึ่งสิ่งที่ท่านสอน ตรงกับหลักการทำธุรกิจของเราสองคนอยู่แล้ว ดังนั้นใน พ.ศ. 2557 เราจึงนำชื่อลูกมาตั้งเป็นชื่อบริษัทว่า ‘เดอะไพรด์แอนด์ดรีม’ โดยเปิดคลินิกกายภาพ ‘Unique Care Station’ สาขาแรกในโครงการเวร่า ซอยมิสทีน” 

ผ่านไปเกือบ 9 ปี ปัจจุบันยูนิคแคร์สเตชันมีทั้งหมด 17 สาขาทั่วประเทศ จนหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า เธอใช้เงินลงทุนมากมายขนาดไหน จึงขยายสาขาได้มากขนาดนี้ ซึ่งคำตอบที่ได้คือ “ตอนเปิดคลินิกกายภาพสาขาแรก เราไม่ได้กู้เงินเลย เป็นการทำแบบเล็กๆ ง่ายๆ ตกแต่งน้อยๆ มีเครื่องมือพื้นฐานทั่วไปให้บริการ ซึ่งก็พอไปได้ จนเริ่มเปิดสาขาสอง ต้องเริ่มกู้เงินมาล้านกว่าบาท โดยที่เราไม่เคยกู้เพิ่มอีกเลย ซึ่งคลินิกทุกสาขาเป็นของเรา เราบริหารจัดการเองทั้งหมด 

“จุดเด่นของคลินิกเรา เน้นการนำเครื่องมือที่เป็นนวัตกรรมมาให้บริการ เพราะพอรักษาไปเรื่อยๆ มีการเก็บข้อมูลมาตลอด ทำให้พบว่าการรักษาด้วย Manual Technique อย่างเดียวเห็นผลช้า เพราะคนทุกวันนี้ใช้ร่างกายหนักกว่าเมื่อก่อน วิธีรักษาด้วยเครื่องมือแบบเดิม เช่น การดัด การดึง การยืดเหยียด การขยับข้อต่อให้หายจากการติดขัดหรืออาการเจ็บปวด (Mobilization) หรือใช้แค่เครื่องบำบัดด้วยกระแสไฟฟ้าและอัลตราซาวนด์ ( Utrasound Combine ) อัลตราซาวนด์เป็นคลื่นเสียงความถี่สูง (มากกว่า 20,000 เฮิรตซ์) ช่วงความถี่ที่ถูกนำมาใช้เพื่อการบำบัดรักษาคือ 0.8 – 3 เมกะเฮิรตซ์ ทำให้เกิดความร้อนและการสั่นสะเทือนต่อเนื้อเยื่อได้ในระดับลึก 2 – 5 เซนติเมตร ซึ่งในเครื่องเดียวกันมีเครื่องกระตุ้นไฟ (Electrical Stimulator) เพื่อนำพลังงานไฟฟ้ามาใช้รักษา ทั้งช่วยในเรื่องของการลดปวด และทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว เป็นวิธีการรักษาที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ในระดับชั้นตื้นเท่านั้น เครื่องมือต่างๆ เหล่านั้นไม่สามารถรักษาอาการปวดเรื้อรัง หรือกล้ามเนื้อชั้นลึกได้ เมื่อรักษาไม่หายขาด คนไข้จึงหาวิธีรักษารูปแบบอื่นๆ เช่น การนวด หรือไม่ก็เปลี่ยนสถานที่รักษาไปเลย 

“เมื่อเก็บข้อมูลผู้รับการรักษาไปเรื่อยๆ เราจึงนำข้อมูลมาวิเคราะห์ว่าจะทำอย่างไรให้เขาหายขาดเร็วขึ้น อาศัยว่าเราเป็นสเปเชี่ยลลิสต์ด้าน Aesthetic มาก่อน จึงพยายามค้นคว้าข้อมูลอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สามารถช่วยลดปวด จนได้ข้อมูลจากคนญี่ปุ่นท่านหนึ่งว่ามีเครื่องมือที่ช่วยลดอาการปวดได้ดีที่สุดคือ เครื่องช็อคเวฟ (Shock Wave) ซึ่งเป็นการรักษาด้วยคลื่นกระแทก และ เครื่องไฮ พาวเวอร์ เลเซอร์ (High Power Laser) เป็นการรักษาด้วยแสงเลเซอร์ เขาจึงแนะนำบริษัทนำเข้าอุปกรณ์การแพทย์ชนิดนี้ให้เราลองติดต่อสอบถามดู 

“จนในที่สุดพบรายงานเอกสารชัดเจนว่า เคยมีการนำเข้าเครื่องมือช็อคเวฟจากประเทศอังกฤษมาในไทย ซึ่งมีงานวิจัยรองรับว่าเครื่องมือเหล่านี้สามารถนำมาใช้ลดปวดได้จริง และเมื่อนำมาทดลองใช้แล้วได้ผลดี ดาวจึงเป็นเจ้าแรกๆ ที่เลือกใช้บริษัทนำเข้าเครื่องมือชนิดนี้มาให้บริการรักษาคนไข้ ซึ่งในตอนนั้นผู้ที่ใช้เครื่องมือชนิดนี้ได้ มีเพียงแพทย์ และนักกายภาพบำบัดที่มีใบประกอบวิชาชีพ ทำให้เราก็กลายเป็นผู้มีประสบการณ์ในการใช้เครื่องมือดังกล่าว พร้อมกับจัดเทรนนิ่งให้บุคลากร และหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งนักกายภาพบำบัดกว่า 200 คนที่ทำงานกับคลินิกเราด้วย”

บริการน้องใหม่ ‘Yoo En Care’ คลินิกกายภาพบำบัดยุคใหม่ ป้องกันการเกิดโรค  

เมื่อทำยูนิคแคร์สเตชันไปเรื่อยๆ คุณดาวเรืองเริ่มเห็นว่าพฤติกรรมคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไป พวกเขาให้เวลากับการใช้โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และโซเชียลอย่างมาก จนทำให้มีอาการปวดหัว ปวดคอ บ่า ไหล่ มากขึ้น บวกกับการที่เธอศึกษาเรื่อง Wellness ซึ่งเน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม และเป็นเทรนด์การตลาดของโลกที่กำลังมาแรง ทั้งหมดนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เธอเปิดคลินิกกายภาพบำบัดยุคใหม่ รองรับกลุ่มคนอายุ 18 – 30 ปี ซึ่งไม่ได้มีอาการเจ็บป่วย แต่ต้องการเยียวยาและฟื้นฟูในลักษณะคล้ายเมดิคอลสปา เพื่อป้องกันการเกิดโรคทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกในชื่อ ‘Yoo En Care’ นั่นเอง โดยเธออธิบายว่า

ดาวเรือง แซ่กอ นักกายภาพบำบัด

“คนจะหายจากการเจ็บปวดได้ ต้องเริ่มจากสมองผ่อนคลาย สมองจะผ่อนคลายได้ต้องมีกลิ่น เสียง และแสงบำบัด ซึ่งเรามีพื้นฐานด้านนี้อยู่แล้ว จึงขยายธุรกิจกายภาพบำบัดแนวใหม่ชื่อ ‘Yoo En Care’ เน้นการใช้ออกซิเจนบำบัดมาช่วย สร้างบรรยากาศของสถานที่ เพื่อให้สมองผ่อนคลาย มีเสียง แสง และบริการที่ดี

เมื่อสมองผ่อนคลาย ร่างกายจะผ่อนคลายไปด้วย ในคอร์สที่เราให้บริการ จึงมีทั้งการขัดผิว อบสมุนไพร แช่นํ้าวน ใช้วารีบำบัด กลิ่นบำบัด และแสงบำบัด ร่วมกับการทำ Fascial Release คือ การขัดผิวด้วยสครับ ทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวเพิ่มขึ้น ช่วยลดอาการปวดจากผิวด้านบน เพื่อให้ผู้ที่ไม่รู้จักคำว่า ‘กายภาพบำบัด’ ได้มาทดลองใช้บริการ นอกจากสวยแล้ว ยังแก้อาการปวดได้ด้วย ถ้าที่ไหนเห็นยูนิคแคร์สเตชัน ก็จะเห็นยูเอ็นแคร์อยู่ใกล้ๆ กัน ปัจจุบันเปิดแล้ว 9 สาขาด้วยกัน” 

‘ปวดคอ บ่า ไหล่’ โรคยอดฮิตคนเมืองที่ควรเร่งรักษา

เราถามถึงอันดับโรคยอดฮิตคนเมือง ที่มักพบบ่อยในช่วงระยะหลังมานี้ ซึ่งคุณดาวเรืองให้ข้อมูลอย่างน่าสนใจว่า  “ช่วงอายุคนไข้ระหว่าง 34 – 60 ปี เป็นช่วงวัยที่มีอาการเจ็บป่วยทางกายภาพมากที่สุด ส่วนใหญ่มาด้วยอาการปวดท้ายทอย คอ บ่า ไหล่ มากเป็นอันดับ 1 ถ้าปล่อยให้เรื้อรังอาจทำให้เกิดข้อไหล่ติด มีการใช้กล้ามเนื้อมัดอื่นทำงานทดแทน อาจลามไปสู่อาการปวดหลังได้ด้วย ซึ่งคนไทยเป็นโรคข้อไหล่ติดมากรองลงมาเป็นอันดับ 2 เพราะไม่ค่อยใส่ใจรักษาอาการ ยิ่งอยู่ในวัยทองด้วยยิ่งมีอาการนี้กันมาก เพราะร่างกายเริ่มเสื่อมตั้งแต่อายุ 35 ปีขึ้นไป ทำให้เกิดการอักเสบของข้อไหล่มากขึ้น

“การที่กล้ามเนื้อเกร็งตัวเป็นไต หรือมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ส่งผลให้เส้นประสาทถูกรบกวนและถูกกดทับ ทำให้เลือดลมเดินไม่สะดวก เกิดการติดขัด ไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้ ผู้ที่มีอาการต่างๆ เหล่านี้ ย่อมส่งผลให้ทุกเช้าหลังจากตื่นนอน รู้สึกไม่สดชื่นแจ่มใส ทั้งที่นอนหลับเต็มที่ บางคนอายุยังน้อยก็มีอาการดังกล่าวแล้ว ซึ่งบางครั้งสาเหตุของโรคเหล่านี้ ไม่ได้เกิดจากอาการออฟฟิศซินโดรมเท่านั้น แต่อาจเกิดจากการใช้ท่าทางอิริยาบถผิดๆ เป็นประจำ

“อันดับ 3 เป็นอาการที่มักเกิดกับเพศชาย เรียกว่า ‘กล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท’ และ ‘กระดูกทับเส้นประสาท’ ภาษาทางการแพทย์เรียกว่า ‘หมอนรองกระดูกปลิ้นทับเส้นประสาท’ อาการที่เป็นคือปวดหลังชาร้าวลงขา ถ้าไม่รีบรักษา จะทำให้ใช้ร่างกายสองข้างไม่เท่ากัน เพราะต้องถ่ายนํ้าหนักให้ขาข้างที่แข็งแรงรับภาระแทนข้างที่เจ็บ ทำให้ไม่สามารถทิ้งนํ้าหนักการนั่ง ยืน เดิน ที่ขาสองข้างเท่ากัน เมื่อผ่านไปสักพัก ข้างที่รับภาระหนักจะเกิดอาการปวดขาปวดน่องตามมา อาการเหล่านี้เกิดจากนั่งขับรถนานๆ หรือตีกอล์ฟ ประกอบกับความเสื่อมในช่วงอายุ 40 – 50 ปี จำเป็นต้องทำกายภาพให้กล้ามเนื้อคลายตัว มีการดึงหลังเพื่อให้กระดูกหลังแยกออกมานิดหนึ่ง เป็นการเพิ่มช่องว่างให้หมอนรองกระดูกกลับเข้าที่เดิม 

“อันดับ 4 คือ ‘โรครองชํ้า’ ซึ่งเกิดจากเท้าผิดรูป หรือใส่รองเท้าผิดรูปผิดขนาด หรือใส่รองเท้าส้นสูง หรือนํ้าหนักตัวมากเกินไป รวมถึงการยืน เดินลงนํ้าหนักจุดเดิมซํ้าๆ เป็นเวลานาน ทำให้เอ็นฝ่าเท้าอักเสบหรือเสื่อมสภาพนั่นเอง”  

เราถามว่า ผู้ที่มาใช้บริการรักษาด้วยวิธีกายภาพ มักเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายมากกว่ากัน “ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงค่ะ โดยเฉพาะช่วงวัยหมดประจำเดือน ทำให้ระดับฮอร์โมนบางตัวลดลง ส่งผลต่อระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ อีกทั้งผู้หญิงมีการใช้กล้ามเนื้อในร่างกายมากกว่าผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นจากการคลอดลูก อุ้มลูก ให้นมลูก การทำงานบ้าน ส่งผลให้คอบ่าไหล่ทำงานมากกว่าปกติ อีกทั้งผู้หญิงมีความเครียดมากกว่าผู้ชาย จึงยิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการปวดมากขึ้น” 

ออกแบบโปรแกรมรักษาเฉพาะบุคคล 

จากประสบการณ์การรักษาคนไข้มาหลายสิบปี บวกกับข้อมูลที่ได้รับจากคนไข้ ทำให้คุณดาวเรืองสามารถเก็บรวมรวบข้อมูลเป็นสถิติและวิเคราะห์อาการ จนทำให้เธอสามารถออกแบบและจัดโปรแกรมการตรวจรักษาคนไข้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆ ซ่อมแซมตัวเอง จนสามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติ “ก่อนที่นักกายภาพของเราจะทำการรักษาคนไข้ ต้องมีการเตรียมการ ฝึกฝน และส่งต่อเคสต่างๆ ของคนไข้ตามระบบ นักกายภาพของเราทุกคน มีความรู้ความสามารถในการวินิจฉัยโรคและให้การรักษาได้เป็นอย่างดี โดยเราเน้นฝึกฝนทักษะการสื่อสารของนักกายภาพต่อคนไข้ เพื่อให้คนไข้มั่นใจ เข้าใจในอาการของโรค และขั้นตอนการรักษาต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา

“ที่สำคัญคือเรามีโปรแกรมการรักษาเพื่อตอบสนองกับโรคใหม่ๆ ที่เกิดจากพฤติกรรม เพราะเรามีการพัฒนาโปรแกรม และบริการต่างๆ เสมอ โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยรังสิต และมหาวิทยาลัยคริสเตียน รับนักศึกษา อาจารย์ และบุคลากรทางการแพทย์ มาศึกษาดูงาน และฝึกงานกับเรา อีกทั้งมีการจัดประชุมวิชาการและฝึกอบรมบุคลากรของเราทุกเดือน เมื่อรวมกับการเก็บสถิติจากผู้เข้ารับการรักษากับคลินิก ทำให้เราสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ เพื่อจัดโปรแกรมที่เหมาะสมให้กับทุกคน และทุกอาการป่วยได้ทันสมัยเสมอ”

ก้าวสู่การเป็น Wellness Hub of Asia

ดาวเรือง แซ่กอ นักกายภาพบำบัด

เหตุผลที่คุณดาวเรืองพยายามขยายสาขาคลินิกกายภาพบำบัดให้ครอบคลุมหลายจังหวัดทั่วประเทศ ก็เพื่อต้องการยกระดับวิชาชีพนักกายภาพบำบัดให้ดีขึ้น รวมทั้งสร้างหลักสูตรผู้ช่วยรวมทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่ยากไร้ ไม่มีงานทำ หรือด้อยการศึกษา ได้มีโอกาสมาเรียนรู้เรื่องการนวด เพื่อเขาจะได้นำไปต่อยอด สร้างความรู้ และสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัวต่อไป “เมื่อตั้งคลินิกตามจังหวัดต่างๆ ได้อย่างที่ตั้งใจ เรามีเป้าหมายอยากทำงานช่วยเหลือชุมชนต่างๆ โดยการให้ความรู้เรื่องการทำกายภาพบำบัด ซึ่งปัจจุบันเรามีโครงการ ‘ปันสุขลดปวด’ ให้ผู้ที่มีอาการเจ็บปวด แต่ไม่มีเงินรักษา สามารถรับการรักษาจากเราได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สาขาละสองคนต่อวัน ผู้สนใจยื่นใบสมัครขอรับบริการได้ทุกสาขา เพราะเราอยากช่วยเหลือและแบ่งปันวิชาชีพที่เราทำ เพื่อให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี

“ในอนาคต เราต้องการให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ รู้จักประเทศไทยในด้านของการเป็น Wellness Hub ที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก เมื่อนึกถึง Wellness อยากให้เขานึกถึงประเทศไทยเป็นอันดับแรก โอกาสของเรามีมหาศาล เพราะว่าคนไทยมี Service Mind มีความเข้าอกเข้าใจเรื่องการดูแลผู้ป่วย หรือการดูแลนักท่องเที่ยว ชนะเลิศกว่าประเทศใด จึงเป็นโอกาสของประเทศไทย ที่มีวัฒนธรรมของการโอบอ้อมอารี มีจิตใจรักการบริการ รวมทั้งการมีจิตสาธารณะเป็นสำคัญ 

“คลินิกด้านกายภาพบำบัดของเรา จึงนำจุดแข็งเหล่านี้มาปรับเข้ากับการบริการ ผสมผสานกับการมีเครื่องมือที่เป็นนวัตกรรมที่ดี สถานที่ให้บริการสวยงาม สะดวกสบาย เพื่อการบริการที่ดีที่สุด สมกับเป็นคลินิกระดับพรีเมียม” 

Never miss an update

Subscribe to our newsletter to get the latest updates.

No Thanks
You’re all set

Thank you for your subscription.