เป็นที่ทราบกันดีว่า หนุ่มสาวจากบ้านสุโกศลล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ทางด้านเสียงดนตรี ชนิดที่เรียกได้ว่าอยู่ในสายเลือด รวมถึงหนุ่มลูกครึ่งอเมริกันอดีตนักรักบี้มหาวิทยาลัย ผู้มีผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนและนัยน์ตาสีน้ำตาล ‘ดีโน่-เดชจุฑา สุโกศล แคลปป์’ ลูกชายคนโตของคุณสุกี้-กมล สุโกศล แคลปป์ ด้วยเช่นกัน
คุณดีโน่ หนุ่มวัย 24 ลำดับแฟมิลี่ทรีให้เราฟังคร่าวๆว่า
“แม่ผม (กัญญศร นิลน้ำเอก) เป็นภรรยาคนแรกของพ่อ และตอนนี้พ่อผมแต่งงานใหม่ มีลูกชายที่น่ารักอีกคน (ใค แคลปป์) น่ารักกว่าผมตอนเด็กๆมาก(หัวเราะ) ผมกับน้องชายอายุห่างกัน 23 ปี ผมจึงน่าจะเป็นเหมือนอามากกว่าพี่ชาย”
“พ่อมีผมตอนเขาอายุ 24 พ่อเลิกกับแม่ตอนผม 10 ขวบ ก็รู้ว่ามันแย่นะ แต่ไม่รู้ว่าเราควรรู้สึกยังไง ตอนนั้นจันทร์ถึงศุกร์ผมจะอยู่กับแม่ ผมจึงเป็น Mama’s boy เพราะแม่ดูแลผมมากกว่า ส่วนพ่อหลังจากเลิกทำเบเกอรี่ ก็เหมือนกึ่งๆเกษียณ เสาร์อาทิตย์ที่ผมอยู่กับพ่อ ผมจะซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์พ่อไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันตลอด มีแต่ผมกับพ่อ”
“ระหว่างไปเที่ยวกันเราคุยกันทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นดนตรี ธุรกิจ ร้านกาแฟ ผมรู้เลยว่าข้างในเขายังเป็นเด็กมาก เลยทำให้รู้สึกว่า He’s my best friend and I’m my dad’s best friend too.”
หลังจากจบมัธยมปลายที่โรงเรียนนานาชาติบางกอกพัฒนา คุณดีโน่ก็เหินฟ้าไปเรียนปริญญาตรีทางด้านเศรษฐศาสตร์กับการเมืองที่ University of Toronto ประเทศแคนาดา ซึ่งคุณดีโน่บอกเราว่าชีวิตในโทรอนโทเปิดประสบการณ์ให้เขามาก แถมเมืองนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากสร้างสรรค์ผลงานดนตรี เหมือนผู้เป็นพ่อ
“แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมอยากทำเพลงมาจากเมืองนี้เลย ขณะที่ตอนผมอยู่กรุงเทพฯ ผมไม่ได้อยากทำเพลงเลย อยากทำแต่ธุรกิจอย่างเดียว แล้วก็ชอบเพลงอัลเทอร์เนทีฟร็อค แต่พอไปแคนาดาผมเริ่มฟังเพลงแดนซ์ และได้ไปดูโชว์ของ Swedish House Mafia ที่เป็นเจ้าพ่อของวงการโปรเกรสซีฟเฮาส์มิวสิกเลย บัตรห้าหมื่นที่นั่งหมดเกลี้ยง หลังดูโชว์เสร็จ ผมรู้สึกว้าว…อยากทำ และจากนั้นมาก็คิดว่าเราต้องเปิดหูเปิดตาฟังเพลงแนวนี้ให้มากๆ
“ตอนที่ผมบอกพ่อว่าจะทำเพลงเต้นรำ พ่อถามคำเดียว ทำไมรู้ตัวเลทมากเลย (หัวเราะ) เพิ่งมาชอบดนตรีตอนอายุ 18 ผมเริ่มทำเพลงในดอร์ม แล้วส่งให้พ่อฟัง เขาฟังแล้วก็ว่าดี (หัวเราะ) เลยซื้อโปรแกรมแต่งเพลง Ableton ที่ดังที่สุดในโลกให้ ผมก็เขียนเพลงด้วยเมาส์ และใช้หูฟัง ซึ่งถ้าผมเรียนเปียโนตั้งแต่เด็กก็คงง่ายกว่า เพราะต้องสอนตัวเองเรื่องคอร์ทซึ่งยากกว่า”
หลังจากเรียนจบจากแคนาดา เขาบินต่อไปยังลอนดอน เพื่อลงเรียนวิชาโปรดิวซ์เพลงที่เวสต์มินสเตอร์อีกราว 6 เดือน
“ที่เลือกที่นี่เพราะผมไม่อยากไปโรงเรียนดัง ผมอยากเรียนแบบลึกที่สุด”
เขาปล่อยเพลงใน Sound Cloud จนเริ่มมีคนฟัง โดยที่เขาใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ทำเสียงดนตรีเองหมด ไม่ว่าจะเป็นกลองหรือเปียโน และเมื่อมีเวลาว่างเขาเริ่มเป็นดีเจเปิดเพลงเต้นรำ
“ตอนอยู่โทรอนโทผมเป็นดีเจด้วย ที่นั่นดีเจได้ค่าตัวอย่างต่ำหมื่นห้าพันบาท แต่พอมาเมืองไทยได้หนึ่งพันบาท เพราะเขาไม่ชอบดีเจไทย ชอบแต่ดีเจฝรั่ง ทั้งที่ดีเจไทยที่เก่งๆมีเยอะมาก I can be the best Thai DJ in Bangkok. มันไม่ใช่เรื่องเงินแต่เกี่ยวกับการให้เกียรติกันในฐานะศิลปินคนหนึ่ง”
ขณะนี้นอกจากเขาจะเป็นดีเจในตอนกลางคืนแล้ว ช่วงกลางวันเขายังช่วยดูแลธุรกิจโรงแรมทั้งห้าแห่งของครอบครัว และกำลังปลุกปั้นธุรกิจร้านกาแฟ Chao Coffee Company ของตัวเองภายในโรงแรมเดอะสุโกศลที่จะเปิดในเร็ววันนี้อีกด้วย