Dr. Paolo Vranjes (ดร. เปาโล วรานเจส) เป็นสุคนธกรหรือนักปรุงน้ำหอมมากฝีมือชาวอิตาลี ที่สร้างชื่อเสียงจากการรังสรรค์หนึ่งในน้ำหอมที่หรูหรามากที่สุดในโลก และเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 40 ปีให้กับแบรนด์ของเขา ‘Dr.Vranjes Firenze’ รวมถึงการเปิดร้านใหม่ในกรุงเทพ ดร. เปาโล วรานเจส ได้พาเราย้อนเส้นทางตลอดการเป็นสุคนธกรและแรงบันดาลใจเบื้องหลังน้ำหอมทุกขวดที่ถูกเสกสรรค์ออกมา
“กลิ่น” แม้จะมองไม่เห็น แต่กลับมีบทบาทสำคัญในชีวิตของทุกคน เพราะการได้กลิ่นถือเป็นหนึ่งในสัมผัสที่ทรงพลังมากที่สุดที่ร่างกายมนุษย์มี ไม่เพียงแต่กลิ่นจะสอดรับกับอารมณ์ความรู้สึกเท่านั้น ในบางครั้งการได้กลิ่นเฉพาะเจาะจงบางอย่าง สามารถพาเราเดินทางผ่านห้วงเวลากลับไปยังสถานที่และความทรงจำในชีวิตได้เลย
ดังนั้นจึงไม่แปลก หากกลิ่นจะมีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับไลฟ์สไตล์อันรุ่มรวย กลิ่นหอมที่ถูกปรุงขึ้นอย่างพิถีพิถันสามารถช่วยสงบจิตใจและผ่อนคลายร่างกายได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งยังสามารถเปลี่ยนบรรยากาศให้อบอวลไปด้วยความสุขได้ ซึ่งเชื่อว่าทุกคนย่อมปรารถนาที่จะให้บ้านของตัวเองเป็นเช่นนั้น
ถึงแม้ว่าศาสตร์แห่งการปรุงน้ำหอมมักถูกมองว่าเป็นศิลปะ แต่หัวใจหลักที่แท้จริงกว่าครึ่งนั้นเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ที่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับเคมีและคุณสมบัติที่แตกต่างของวัตถุดิบต่างๆ ทั้งจากธรรมชาติและสังเคราะห์ขึ้น
การจะก้าวขึ้นมาเป็น สุคนธรส (Perfumer) หรือนักปรุงน้ำหอมมืออาชีพนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของวัตถุดิบต่างๆ อย่างลึกซึ้ง มากพอๆ กับความเข้าใจถึงปฏิกิริยาเมื่อวัตถุดิบทั้งหลายถูกผสมรวมกัน
หากบอกว่าอาชีพสุคนธรสเป็นหนึ่งในอาชีพที่เต็มไปด้วยท้าทายและต้องใช้ความมุมานะอุตสาหะอย่างมากคงไม่ผิดนัก เพราะสายอาชีพนี้ไม่ได้อาศัยเพียงสุนทรียะในด้านศิลปะอย่างเดียว แต่ยังต้องมีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และการฝึกฝนอย่างหนัก เนื่องจากเรื่องของกลิ่นเป็นสิ่งที่ค่อนข้างเฉพาะตัว ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถแยกแยะความแตกต่างของกลิ่นได้ดีเท่ากัน และไม่ใช่ว่ากลิ่นเดียวกันจะหอมสำหรับทุกคน
ด้วยโปรแกรมฝึกฝนอย่างเป็นทางการที่มีไม่มากนัก ทำให้ผลงานของเหล่านักปรุงน้ำหอมมืออาชีพล้วนน่าทึ่ง ซับซ้อน และถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยสุคนธกรจำนวนเพียงหยิบมือจากทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือ ดร. เปาโล วรานเจส ผู้ก่อตั้งและ CEO แห่ง Dr. Vranjes Firenze แบรนด์เครื่องหอมลักซ์ชัวรี่ที่มีต้นกำเนิดอยู่ที่กรุงฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1983
ดร. เปาโล วรานเจส มีความตั้งใจที่จะคัดสรรเฉพาะวัตถุดิบคุณภาพดีที่สุดเท่านั้นมาใช้ และยังใส่ใจในทุกรายละเอียดทุกขั้นตอนของการปรุงน้ำหอม ทำให้ชื่อของเขากลายเป็นที่รู้จักและโด่งดังในโลกของน้ำหอมลักซ์ชัวรี่ โดยแบรนด์ Dr. Vranjes Firenze นั้นมีผลิตภัณฑ์เครื่องหอมหลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่เทียนหอม ก้านไม้หอม และอีกมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่สามารถเปลี่ยนบรรยากาศของทุกสถานที่ให้กลายเป็นสวรรค์ของคนรักกลิ่นหอมได้ จนกลายเป็นที่ติดใจของบรรดาลูกค้าจากทั่วโลก
เมื่อช่วงครบรอบ 40 ปีของแบรนด์ที่ผ่านมา ดร. เปาโล วรานเจส ได้เดินทางมาเยี่ยมเยือนประเทศไทย ทำให้เรามีโอกาสได้นั่งพูดคุยกับเจ้าของแบรนด์เครื่องหอม Dr. Vranjes Firenze พร้อมฟังเรื่องราวการเดินทางของสุคนธกรมือฉกาจจากกรุงฟลอเรนซ์สู่ทั่วทุกมุมโลก แรงบันดาลใจเบื้องหลังกลิ่นหอมทุกขวด และอีกมากมาย


ทำไมถึงอยากเป็นสุคนธกร ?
“ตลอดช่วงชีวิตการศึกษาของผม ผมอุทิศตัวให้กับความหลงใหลในเรื่องเคมี วิทยาศาสตร์เภสัชกรรม และเครื่องสำอางวิทยา หลังจากเรียนจบ ผมได้มีโอกาสนำสิ่งที่ร่ำเรียนมาทดลองใช้จริงผ่านการทำงานกับหลากหลายผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม (Cosmetologist) ที่มีฝีมือที่สุดของอิตาลี อย่างเช่น การสร้างสูตรสำหรับทรีตเมนต์บำบัดด้วยความร้อนและสปาต่างๆ”
ดร. เปาโล วรานเจส เล่าย้อนไปถึงช่วงเริ่มต้นในสายอาชีพ “ในช่วงแรก ผมเริ่มเก็บเกี่ยวความหลงใหลที่มีต่อน้ำหอมอย่างลับๆ ซึ่งผมต้องขอบคุณสัญชาตญาณของภรรยาผม แอนนา มาเรีย ที่หลังจากนั้นเธอมีส่วนสำคัญที่ทำให้ผมเริ่มเดินทางในสายอาชีพสุคนธกร เธอเชื่อในตัวผมมาโดยตลอดและยังคงเป็นแฟนคลับของผลงานผมจนถึงทุกวันนี้”
“ภรรยาของผม เธอมีเซนส์เรื่องความงามที่ดีมาก ซึ่งเธอคือคนที่ออกแบบขวดน้ำหอมของ Dr. Vranjes Firenze จนทำให้ขวดรูปทรงแปดเหลี่ยมกลายเป็นสัญลักษณ์ที่คนทั่วโลกนึกถึงเรา เธอได้แรงบันดาลใจเรื่องขวดทรงแปดเหลี่ยมมาจากแชนเดอเลียร์เก่าที่เธอเคยเห็นในห้องทำงานของช่างทำแก้วเมื่อหลายปีก่อน ก่อนที่เราจะก่อตั้งแบรนด์ในปีค.ศ. 1983 เสียอีก”
การจะมี “จมูก” แบบนักปรุงน้ำหอมมืออาชีพต้องทำอย่างไร ?
“หากจะให้เปรียบเทียบ จมูกคงเป็นเหมือนกับศิลปิน เพราะเป็นอวัยวะที่มีความสามารถพิเศษติดตัวมาแต่กำเนิด ยากที่จะอธิบาย และไม่สามารถแบ่งปันให้ใครได้ ตลอดการศึกษาของผม พบว่าคนเราสามารถกลายเป็นผู้ประเมินกลิ่นได้ โดยมีจมูกทำหน้าที่รับผิดชอบการตรวจเช็กและประเมินความเสถียรของเนื้อแท้และกลิ่น เฉกเช่นเดียวกับเวลาซอมเมอลิเยร์ประเมินรสชาติของไวน์”



ที่มาของแรงบันดาลใจเบื้องหลังกลิ่นอันแสนไอคอนิกคืออะไร ?
“กลิ่นทุกกลิ่นมีเรื่องราวของมันเอง ผมเป็นคนช่างสงสัยมาตั้งแต่ยังเด็ก และนิสัยนี้คงจะก่อร่างสร้างฐานความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในตัวผม หากถามว่าแรงบันดาลใจในการปรุงกลิ่นน้ำหอมคืออะไร ผมคงตอบว่าแรงบันดาลใจของผมมาจากทุกที่ มาจากผู้คนที่ผมได้พบเจอ สถานที่ที่ได้ไปเยือน การผจญภัยที่ผมเผชิญในทุกวัน และเหนือสิ่งอื่นใดคือแรงบันดาลใจจากความทรงจำ ผมมักเริ่มจากการจินตนาการภาพ นึกถึงความรู้สึกที่ปลุกเร้าในตัว จากนั้นจึงพยายามปรุงกลิ่นหอมขึ้นมา”
มีกลิ่นไหนที่มีแรงบันดาลใจมาจากฝั่งเอเชียไหม ?
“ผมมีความหลงใหลและชื่นชอบในฝั่งเอเชียมาก ผมได้เดินทางท่องเที่ยวผ่านหลากหลายประเทศในเอเชียตลอดชีวิต และเคยเก็บความทรงจำผ่านกลิ่นต่างๆ เพื่อนำมาปรุงน้ำหอมเช่นกัน ผมเชื่อว่าเอเชียเป็นแหล่งกำเนิดความทรงจำอันน่าประทับใจที่ไม่มีวันหมด รวมถึงวัตถุดิบชั้นยอดมากมายที่นำมาปรุงน้ำหอมเองก็ได้มาจากพื้นที่แถบเอเชีย”
“น้ำหอม 2 กลิ่นที่ผมได้แรงบันดาลใจจากเอเชีย แต่นำมาตีความแตกต่างกันคือ Green Flowers และ Mirra Zafferano สำหรับกลิ่นแรกนั้นจะทำให้นึกถึงฤดูใบไม้ผลิ ความสดชื่นของดอกชา (Tea Flower) ซิตรัสจากอิตาลี ดอกกระดังงา ดอกมะลิ หญ้าแฝก และสะระแหน่ ซึ่งผมได้แรงบันดาลใจมาจาก ประเทศศรีลังกา ที่เป็นเหมือนสรวงสวรรค์สำหรับการปลูกต้นชา Camellia Sinensis ด้วยวิวอันน่าตื่นตะลึงของไร่ชา จนถึงความบริสุทธิ์สดชื่นของอากาศ สถานที่แห่งนั้นทำให้ผมปรุงน้ำหอม Green Flowers ขึ้นมา”
“ส่วนกลิ่น Mirra Zafferano คือการสรรเสริญให้แก่วัตถุดิบล้ำค่ามากมายที่นำมาปรุง เป็นน้ำหอมที่เหมือนกับการเดินทางมาบรรจบกันระหว่างโลกตะวันออกและแถบเมดิเตอร์เรเนียน มันมีทั้งความซับซ้อน ความหรูหรา และความอ่อนหวาน จากโน๊ตกลิ่นของมะกรูด ไม้หอม และอำพัน ผสานรวมกับหญ้าฝรั่น กำยาน และวนิลา”
“ตอนนี้ผมกำลังปรุงน้ำหอมกลิ่นใหม่อยู่ ซึ่งมีแรงบันดาลใจมาจากเอเชียอีกเช่นกัน และผมแทบรอไม่ไหวที่จะได้เปิดตัวกลิ่นใหม่นี้”

อะไรทำให้น้ำหอมของ Dr. Vranjes Firenze มีเอกลักษณ์ขนาดนี้ ?
“ผมคิดว่ามันคือการผสมผสานระหว่างความซับซ้อน ความคิดริเริ่ม และความสร้างสรรค์”
“สิ่งที่เรามักได้รับการชื่นชมเสมอมาคือคุณภาพของวัตถุดิบที่เราใช้ การมีเรนจ์กลิ่นน้ำหอมที่กว้างและหลากหลาย และความยอดเยี่ยมของน้ำหอมที่เรารักษามาตรฐานด้วยการผลิตทุกกระบวนการในอิตาลี”
“ยิ่งไปกว่านั้น ความติดทนนานของน้ำหอม รวมถึงสี ขนาด และดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ทำให้เครื่องหอมทุกชิ้นในแบรนด์สามารถส่งเสริมและสอดคล้องไปกับวิถีชีวิตของลูกค้าได้ดี”
แหล่งที่มาของวัตถุดิบต่างๆ มาจากไหนบ้าง ?
“ในฟลอเรนซ์ ที่ซึ่งเราผลิตเครื่องหอมทุกอย่างมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1983 ปัจจุบันเรามีวัตถุดิบเก็บอยู่ในคลังมากกว่า 2,200 ชนิด ถึงแม้ว่ากระบวนการผลิตน้ำหอมจะเริ่มต้นจากการใช้วัตถุดิบที่เรามีอยู่ แต่ผมยังคงเปิดกว้างและออกค้นหาวัตถุดิบใหม่ๆ เสมอ บางวัตถุดิบที่เราใช้หายากและเอ็กซ์คลูซีฟมากๆ อย่างเช่นกลิ่น Middle Eastern Oud ที่ผสานความหอมเอกลักษณ์ของ Black Jasmine และกุหลาบหายาก”
วัตถุดิบโปรดที่ชอบนำมาปรุงกลิ่นคืออะไร ?
“หนึ่งในวัตถุดิบโปรดส่วนตัวของผมคือตระกูลกลิ่นซิตรัสที่มาจากอิตาลี ผมชอบพอๆ กับตระกูลกลิ่นวู้ดดี้และอำพัน ผมมักนำมันมาผสมกับเฉดกลิ่นที่สดชื่นและอบอุ่น ซึ่งผลลัพธ์ของมันมักน่าทึ่งและมีเอกลักษณ์มาก”
น้ำหอมกลิ่นไหนขายดีตลอดกาล และทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ?
“Rosso Nobile, Ambra, Ginger Lime, Milano, Oud Nobile, Acqua แล้วก็ Peonia Black Jasmine คือหนึ่งในกลิ่นขายดีตลอดกาล ผมคิดว่าคุณภาพ ความแตกต่าง และประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ คือเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้คนรักและไว้ใจแบรนด์ของเราตลอดมา”

ทริคในการเลือกเครื่องหอม มีวิธีอะไรอีกไหมนอกจากแค่คำว่า “ชอบกลิ่นนี้” ?
“สำหรับเครื่องหอมในบ้าน แน่นอนว่าเราจะต้องมองหากลิ่นที่สามารถระเหยฟุ้งในอากาศได้ดีและอยู่ทนนาน ขณะที่น้ำหอม Eau de Parfum สำหรับฉีดผิวกาย เราจะเลือกจากส่วนผสมที่ดีที่สุดที่ทำให้มั่นใจได้ว่ากลิ่นจะหอมบนผิวเรา”
“ในกรณีของเครื่องหอมในบ้าน ผมจะแนะนำให้เลือกกลิ่นสำหรับ “พื้นที่ส่วนตัว” ที่คุณแชร์ร่วมกับคนที่รัก แต่ในกรณีของน้ำหอมประจำตัว วิธีการเลือกกลิ่นอาจต้องคำนึงถึงว่าเวลาน้ำหอมอยู่บนผิวของคุณแล้วคุณชอบหรือไม่ และคนรอบตัวคุณรู้สึกอย่างไรกับกลิ่นนี้”
“เราสามารถดูแลตัวเองไปพร้อมกับใส่ใจคนรอบข้างด้วย ผมเชื่อว่าการมีชีวิตที่ดีจะต้องยึดความถูกต้องดีงามไว้ด้วย”
มีคำกล่าวว่ากลิ่นทำให้เรานึกถึงความทรงจำดีๆ แล้วน้ำหอมกลิ่นไหนคือกลิ่นโปรดของคุณ ?
“หากพูดถึงน้ำหอมในแง่ตัวช่วยที่พาเรากลับไปยังสถานที่และความทรงจำในใจ ผมมีหลายกลิ่นโปรดมากทีเดียว แต่ Rosso Nobile และ Bellini Rosso Nobile คือสองกลิ่นน้ำหอมที่เป็นยิ่งกว่าแค่วิทยาศาสตร์และเคมีเกี่ยวกับสุคนธรส”
“กลิ่นแรกที่ผมพูดถึง (Rosso Nobile) ได้แรงบันดาลใจมาจากมิตรภาพระหว่างผมและ ฟรานซิส นักสร้างภาพยนตร์ผู้หลงใหลในศาสตร์แห่งการผลิตไวน์ ในช่วงปลายยุค 1990s ฟรานซิสเชื่อว่าไม่มีใครสามารถสร้างกลิ่นเลียนแบบไวน์แดงที่อุดมสมบูรณ์อยู่เต็มผืนดินของเมือง Cianti และ Montepulciano และผมที่ชื่นชอบความท้าทาย จึงได้ริเริ่มการปรุงน้ำหอมกลิ่น Rosso Nobile”
“หลังจากนั้น 3 ปี ในที่สุดผมก็พอใจในผลงานของตัวเองและส่งไปให้ฟรานซิสในขวดเหล้า พร้อมบอกให้เขาลองดมผ่านเถาวัลย์องุ่นจริงๆ ซึ่งเพื่อนของผมประทับใจกับผลลัพธ์มาก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก ทั้งโลกก็ค่อยๆ ชื่นชมและยกย้องน้ำหอมมากขึ้นทีละนิด จนปัจจุบันเครื่องหอมกลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่ใช้แสดงถึงตัวตนและอารมณ์ของพื้นที่”
“สำหรับแรงบันดาลใจของ Bellini Rosso Nobile เกิดจากความชอบในการชิม ทดลอง และชงค็อกเทล ในบรรดาค็อกเทลที่ผมชอบ Bellini คือแก้วโปรดของผมและภรรยา เพราะตอนนั้นพวกเรานั่งดื่มค็อกเทลเมนูนี้อยู่ด้วยกันที่จตุรัสซันมาร์โก กรุงเวนิส และผมก็ขอเธอแต่งงานที่นั่น”

เทรนด์ที่มาแรงที่สุดขณะนี้ในโลกเครื่องหอมคืออะไร ?
“ศาสตร์ของสุคนธรสกำลังเติบโตขยับขยายไปทั่วโลก เพราะน้ำหอมช่วยให้เราสามารถแสดงความเป็นตัวเอง อุปนิสัย และเอกลักษณ์ต่างๆ ออกมา ยิ่งเป็นแบรนด์ที่ผลิตแค่น้ำหอมเพียงอย่างเดียว (Niche Perfume) ยิ่งช่วยให้เราสามารถเลือกกลิ่นที่แตกต่างหรือสร้างกลิ่นประจำตัวได้ ซึ่งสิ่งนี้ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนยุคใหม่ เป็นเหมือนตัวช่วยที่ทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้น และเซอร์ไพรส์คนรอบข้างได้อีกด้วย”
“ในทางเดียวกัน แบรนด์ที่อยู่ในแวดวงน้ำหอมจึงจำเป็นต้องลงทุนมหาศาลเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดื่มด่ำและน่าประทับใจให้แก่ลูกค้า เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ทำให้กลิ่นน้ำหอมกลายเป็นสไตล์เฉพาะตัวของแต่ละคนเอง”
“อีกแง่มุมที่ไม่ควรมองข้ามก็คือความสำคัญของกระบวนการทำงานที่ยั่งยืนและรับผิดชอบต่อธรรมชาติและผู้คนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“อย่างแบรนด์ของเราเองก็ได้ตกลงที่จะผลิตเครื่องหอมทุกชนิดขึ้นในแคว้นทัสคานีเพื่อจะจำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ความมหัศจรรย์ที่บรรจุอยู่ในขวดน้ำหอมของ Dr. Vranjes Firenze ทุกขวด เกิดจากการปรุงอย่างระมัดระวัง และวัตถุดิบชั้นเลิศที่ผ่านการคัดสรรมาแล้วว่าไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม เรายังเลือกผู้จัดหาวัตถุดิบด้วยการพิจารณาสภาพเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละพื้นที่ที่วัตถุดิบถูกเก็บเกี่ยวมา”
ตอนนี้กำลังเตรียมปล่อยผลิตภัณฑ์ใหม่อะไรอยู่ไหม ?
สุดท้ายก่อนจากกัน ดร. เปาโล วรานเจส ได้แย้มเบาๆ ถึงโปรเจกต์ที่กำลังทำอยู่ว่า “ตอนนี้ผมกำลังทำชิ้นงานใหม่อยู่เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้านานาชาติ จะมีทั้งรูปแบบเครื่องหอมในบ้านและน้ำหอมฉีดผิวกาย แต่ผมไม่สามารถบอกรายละเอียดได้มากไปกว่านี้”
“สุดท้ายนี้ ผมอยากจะแสดงความยินดีที่เราได้ฉลองปีที่ 40 ของแบรนด์ด้วยการบุกตลาดประเทศไทยไทย มันเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ของเรา และเราก็ตั้งตารอที่จะเติบโตไปอีกในอนาคต”