เปิดบ้านหรูสไตล์ Eclectic ของ ‘คุณริก้า ดีล่า’ นักสะสมงานศิลปะ ที่เนรมิตบ้านให้ลูกชายคนโต
“รู้ไหมพี่ด้วง (ดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกชั้นนำ) มาเห็นบ้านหลังนี้ แล้วบอกว่าสไตล์การตกแต่งแบบ Eclectric นี้ เขายังทำไม่ได้เลยนะ เพราะเขาไม่เข้าใจว่าวางแล้วจะเข้ากันได้อย่างไร” สิ้นประโยคซิงเกิ้ลมัมสุดเปรี้ยว ‘คุณริก้า ดีล่า’ ก็หัวเราะเบาๆ ปลายเสียงเจือด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้รับคำชมจากสถาปนิกคนดังแห่งยุค
เรากำลังอยู่ในห้องทำงานชั้นล่างของทาวน์เฮาส์แฝดที่เธอค่อยๆ ขยายจนได้สเปซที่สวยงาม ใช้ประโยชน์ได้ทุกมุม ประดับประดาด้วยศิลปะร่วมสมัยที่เธอสั่งสมมาโดยตลอด ห้องนี้ยังสามารถใช้รับแขก เพราะตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ที่คุณริก้านำมาจากบ้านหลังต่างๆ ที่เธอเคยใช้ตกแต่ง เรียกว่าตรงกับหลักการ Sustainability ที่เน้น Zero Waste ทุกอย่างสามารถนำมา Reuse และ Recycle ได้

“เราเป็นคนไม่ชอบทิ้งของ จึงหมดเงินไปกับการรีไซเคิลของเยอะมาก อย่างโต๊ะตัวนี้เราก็ส่งไปซ่อมให้เหมือนใหม่ หมดเงินไปเกือบแสน กระเป๋าเก่า รองเท้าเก่า เวลาจะใช้อีกก็ต้องส่งไปทำความสะอาดก่อน บางทีก็คิดเล่นๆ ว่า คนอื่นเขาใช้เฟอร์นิเจอร์แค่ปีสองปีก็เปลี่ยนเป็นว่าเล่น ทำไมเราไม่ทำอย่างนั้นบ้าง แต่เราก็เปลี่ยนบางอย่างๆ พาร์ทิชั่นของ MINOTTI ที่ใช้มาสามสิบปีแล้ว เราก็เอาผ้าของ Jim Thompson มาบุแทน
“บางอย่างพังก็ยังซ่อม นอกเสียจากซ่อมไม่ได้แล้ว เป็นโรคจิต (หัวเราะเบาๆ) คือเรามาจากอีก Generation ลูกชายสั่งอาหารมาสิบอย่างแล้วกินไม่หมด เราทำใจไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องเงินนะ แต่เป็นเพราะคุณพ่อริก้า (อาดิง ดีล่า นักดนตรีชื่อดัง) พูดเสมอว่า ลูกต้องกินข้าวให้หมดนะ ถ้าอะไรที่ยังใช้ได้ก็ห้ามทิ้ง คนก็จะเข้าใจผิดว่าริก้างก แต่ไม่ใช่ It’s not the money. I can pay.
“ดูสิ…ฝ้าเพดานก็เป็นฝ้าสำเร็จรูปที่เราจำมาจากร้านของพี่กอล์ฟ (ณชนก รัตนทารส) ที่ H1 เราชอบก็จำมาทำกับบ้านเราบ้าง เอามาทำสีใหม่เป็นสีทองอร่าม ซึ่งเราคิดว่าคงไม่มีใครใช้สีทองเฉดนี้ โคมไฟมาจากบ้านที่สุขุมวิท 36 ออกแบบโดยดีไซเนอร์ชาวเดนิช ซื้อมานานเท่ากับอายุของแก็บบี้ แล้วลืมทิ้งไว้ในกล่อง ก็เก็บไว้จนออกซิไดซ์จากสีโครมกลายเป็นสีทอง เลยกลายเป็นว่าสวยไปอีกแบบ คือเป็นความ Imperfection ก็เลยเข้ากับอย่างอื่นได้ ไม่ต้องซื้อของแต่งบ้านชิ้นใหม่เลย เพราะเก็บทุกอย่างไว้หมด เพนติ้งก็มีเยอะมากจนบางรูปเสียไปเลยก็มี เพราะเราไม่มีห้องสำหรับเก็บรูปโดยเฉพาะ ตอนนี้ส่วนที่เหลืออยู่จะส่งไปแต่งบ้านที่อังกฤษ เพราะเราเก็บงานศิลปะเอาไว้หลายร้อยชิ้น”

หากกล่าวถึงการสะสมงานศิลปะของศิลปินร่วมสมัยของไทย ต้องบอกว่าคุณริก้าเป็นนักสะสมที่มีสายตาเฉียบขาดคนหนึ่ง HELLO! เคยไปเยือนบ้านที่สุขุมวิท 53 ของคุณริก้า มีงานระดับมิวเซียมพีซประดับอยู่มากมาย มาบ้านหลังนี้เธอเลือกตกแต่งด้วยงานศิลปะของศิลปินเจนใหม่ขึ้นมาหน่อย ไม่ว่าจะเป็นไทวิจิต พึ่งเกษมสมบูรณ์ โลเล และตะวัน วัตุยา
“เราว่าเราแต่งตัวไม่เก่งเท่าแต่งบ้าน คนขายเฟอร์นิเจอร์แนะนำว่า ให้ยูวัดขนาดและตัดกระดาษไปแปะว่าเข้ากับสเปซและของอื่นหรือเปล่า แต่เราไม่ต้องทำแบบนั้น เราดูปราดเดียวก็รู้เลยว่าได้หรือไม่ได้ เป็นแบบนี้มานานแล้วนะ ก็แปลกดี ทั้งที่เราไม่ได้เรียนศิลปะมา แต่ใช้สัญชาตญาณ พูดจริงๆว่าเรายังงงตัวเองเลย ลีโอ (เสฏฐนันท์ ราฟาเอล เตชะวิบูลย์) ลูกชายคนเล็กซื้อบ้านที่อังกฤษ จะซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้าน ก็ให้เราไปช่วยดู เขาต้องใช้ MINOTTI, Cassina กับ Hasten ซึ่งขนาดเราเป็นแม่ยังไม่มีตังค์ซื้อเลย (หัวเราะ) เพราะเราเกิดมาเราไม่มี เราหามาด้วยลำแข้งตัวเอง”

“จำได้เงินเดือนเดือนแรก เอาไปซื้อรูปจากแกลเลอรี่ที่อยู่หน้าปากซอยบ้าน เป็นศิลปินโนเนม ตอนนั้นทำงานอยู่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ นั่งรถเมล์ผ่านทุกวัน ตอนนี้ก็ยังเก็บไว้อยู่ แต่คงไม่เอามาแขวนที่บ้านแล้วแหละ”
นอกจากนี้คุณริก้ายังทำแลนด์สเคปเอง เพราะจ้างคนทำแล้วไม่เคยถูกใจ “เรามีความรู้สึกว่าเขาไม่มีความรู้เรื่องต้นไม้มากไปกว่าเรา เอาต้นไม้ที่โดนแดดไม่ได้ไปวางไว้ตรงแดดส่อง เอาต้นไม้ที่ต้องโดนแดดไปไว้ที่ร่ม ก็เลยศึกษาทำเองเจ๊งเองไม่รู้กี่สวน จนรู้ว่าควรทำยังไง เราชอบแบบนี้ เลยไม่ต้องจ้าง”
ส่วนกระเบื้องประดับพื้นและผนังของบ้านหลังนี้ เป็นสไตล์โมร็อกกันผสมไชนีสหลากสีสัน ที่เธอออกแบบเองและจ้างโรงงานเซรามิกที่ลำปางทำให้ ก็ออกมาสวยงามมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครอีกเช่นกัน “โชคดีที่ริก้าเจอแต่คนที่ฟังแล้วเข้าใจความต้องการของเรา ก็จะหา Reference จาก Google ภาพกระจกสีก็หาภาพกระจกสีตามโบสถ์โบราณใน Google เหมือนกัน เอาให้ช่างดูแล้วบอกว่าเอาแบบนี้นะ และบ้านหลังนี้ก็ได้ดีไซเนอร์คู่ใจอย่างยุทธนา สาบคำ มาช่วยคุมการตกแต่งให้ออกมาได้ดั่งใจเรา”
Queen of Fortune
นอกจากบ้านหลังนี้ที่คุณริก้าตั้งใจให้เป็นที่พำนักของคุณแก็บบี้ ลูกชายคนโตแล้ว เธอยังมีบ้านซอยสุขุมวิท 53 บ้านทรงไทยที่สุขุมวิท 36 ซึ่งกำลังสร้างใหม่ให้เป็นที่อยู่ของคุณลีโอและภรรยา บ้านที่ปากช่อง บ้านริมทะเลพัทยา คอนโดมิเนียม 185 ราชดำริ บ้านริมแม่น้ำโขงที่เลย ที่ดินที่สีคิ้ว โคราช และที่ดินในแม่กำปองที่เชียงใหม่ ถามว่าเพราะอะไรเธอถึงสะสมพร็อพเพอร์ตี้เอาไว้หลายแห่งขนาดนี้ “เพื่อนเคยถามเล่นๆ ว่ายูมีกระเป๋า Hermès กี่ใบ ก็บอกเพื่อนว่า มีอยู่ใบเดียว แล้วเป็นใบที่ลูกชายหุ้นกันซื้อให้ เขาคงคิดว่าแม่ไม่มี (หัวเราะ) เคยเดินผ่าน Chanel ด้วยกัน ลูกบอก ‘Mom ทำไมไม่แต่งตัวเลย’ เราคิดในใจว่าลูกก็ซื้อให้แม่สิ (หัวเราะ) ซึ่งเราแต่งตัวแบบไม่เน้นแบรนด์เนม แต่มีดวงเรื่องที่ดิน
“ตอนที่โครงการ 185 ราชดำริเปิดขายรอบแรก เราเป็น 1 ใน 10 คนแรกที่เขาเชิญไปฟังพรีเซนเทชั่น เพราะรู้จักเจ้าของ จำได้เลยว่าเป็นโครงการสุดท้ายที่เป็น Free Hold เพราะฉะนั้นยังไงฉันก็จะซื้อ ก็เอา Private Banker ไปด้วย เขาเปิดราคาที่ 130 กว่าล้านบาท พอเขาบอกราคา เราอึ้งไปพักหนึ่ง เพราะกำลังนึกว่าจะต้องกู้เงินเยอะแค่ไหน เดินออกจากห้องแบบงงๆ ปรากฏว่ามีการเดินขบวนนานหลายเดือน เขาก็เลยปิดโครงการ
“จากนั้นให้หลังอีกนาน เขาเปิดโครงการอีกครั้ง เซลส์จำเราได้ เลยโทร.มาบอก เรารีบบึ่งรถไปโดยที่ไม่รู้ว่าจะซื้อได้หรือเปล่า ไปถึงปุ๊บ กลายเป็นว่าราคาใหม่เปิดที่ 57 ล้านบาท เราซื้อเลยทันที โดยไม่ถามไม่อะไรเลย ก็ให้ Incredible ออกแบบภายในให้เรียบขรึมแบบผู้ชาย เพราะคิดว่าลูกชายคงอยากใช้ ตอนนี้มีคนออฟเฟอร์มา 120 ล้านบาทแล้ว แต่มีพี่ที่รู้จักบอกว่า ริก้าอย่าขายนะ เก็บไว้ก่อน เพราะมีแต่คนอยากได้ และลูกชายคนเล็กไม่อยากให้ขาย
“กับที่เชียงใหม่ มีคนต้องใช้เงินเพื่อบินไปร่วมงานรับปริญญาลูก เอาโฉนดที่ดิน 5 ไร่ในแม่กำปองมาวางเป็นประกันเพื่อยืมเงิน 3.5 แสนบาท สุดท้ายเขาคืนเงินไม่ได้ ก็เลยโอนที่ให้ ซึ่งตอนนั้นที่อยู่ไหนยังไม่รู้จักเลย ปรากฏว่าตอนนี้มีแต่คนมาขอซื้อ และลีโอชอบมาก เลยไม่ขาย อีกแห่งมีคนร้อนเงินเอาที่ดินติดกับน้ำตกสีคิ้วมาให้ ตอนนี้เจริญมาก เพราะถนนลอยฟ้าตัดผ่านพอดี กำลังคิดว่าจะซื้อบ้านน็อกดาวน์สไตล์โมเดิร์นหลังละ 4 แสนบาทไปตั้ง และเปิดเป็น AirBnB”
ส่วนที่นี่เดิมทีเธอซื้อทาวน์เฮาส์ 4 ชั้น คูหาตรงกลางเอาไว้ในราคาเพียง 1.9 ล้านบาท ส่วนเจ้าของคูหาติดกันซึ่งเป็นห้องมุมประสบอุบัติเหตุรถคว่ำเสียชีวิต เมื่อสามีมาเก็บข้าวของ คุณริก้าจึงเข้าไปถามไถ่ เพราะรู้สึกได้ว่าต้องมีความผิดปกติเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ตอนที่เขามาเคลียร์ของ เราก็เดินไปถามว่า เกิดอะไรขึ้น เพราะเห็นเขาขนของออก ถึงได้รู้ว่าเจ้าของเสียชีวิต ก็คิดว่าเขาคงไม่อยู่แล้ว เลยซื้อจากเขาในราคา 7 ล้านกว่าบาท แล้วมาตีทะลุถึงกันสองหลัง ตอนนี้ราคาน่าจะ 80 – 90 ล้านบาทแล้ว เพราะที่ดินในสุขุมวิททำเลทองมาก”
สูตรการดูแลตัวเองอย่างริก้า
สำหรับรายการเรียลลิตี้ซีรี่ส์ชื่อดังอย่าง Face2Face Thailand Special ซึ่งคุณริก้าได้เป็นแขกรับเชิญทุกตอน ซึ่งมีตอนที่เธอเข้ารับการดูดไขมันที่ใต้ท้องแขนและบริเวณหน้าท้อง นับเป็นสิ่งที่เธอไม่คาดคิดมาก่อน “ตอนที่เต้มาชวนก็ไม่ได้บอกอะไรจนไปถึงโรงพยาบาลวิภาวดี เป็นครั้งแรกที่เจอนุ้ย (มาดามนุ้ย-ณัชชา กิจจริยภูมิ) ก็ได้คุยกัน นุ้ยเขาเห็นเราพูดตรงและภาษาไทยของเราอาจจะทำให้คนฟังแล้วขำ ก็เลยชวนพี่ริก้ามาทุกตอนไหม ไม่ใช่แค่ตอนเดียว ก็เลยเห็นเราทุกตอน แล้วนุ้ยเขาก็ถามว่าพี่ริก้ามีอะไรในร่างกายที่รู้สึกไม่มั่นใจ ก็บอกเขาว่า เราออกกำลังกายด้วยการยกเวทอาทิตย์ละ 3 ครั้ง แล้วไม่ใช่คนอ้วน แต่มีไขมันใต้ท้องแขนที่อาจมาจากกรรมพันธุ์
“เขาบอกเขามีเครื่องเลเซอร์ตัวใหม่ ก็เลยลองดู เขาก็วางยาสลบ เพราะเรากลัวเจ็บ เขาเจาะรูเล็กๆที่แขนแล้วสอดแท่งเหล็กเข้าไปยิงเลเซอร์ให้ไขมันละลาย จากนั้นดูดไขมันออกมา สิ่งมหัศจรรย์คือมันทำให้ผิวกระชับขึ้นโดยอัตโนมัติ เขาแนะนำว่าหลังจากทำแล้ว เราต้องออกกำลังกาย และต้องระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน ไม่ให้เกิด YoYo Effect การทำแบบนี้ช่วยได้ 70% อีก 30% ขึ้นอยู่กับเราที่ต้องรักษา”

นอกจากนี้เธอยังทำ Baby Hair เพิ่มบนหน้าผากด้วย “ตอนเด็กๆ เรามี Baby Hair เยอะนะ แต่พออายุมากขึ้นเป็นเรื่องปกติที่เส้นผมจะบางและขาดง่ายขึ้นด้วย แล้วเมื่อถึงวัยหนึ่งเส้นผมใหม่จะไม่ค่อยขึ้น ทำให้หน้าผากเถิกขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราไม่ชอบ เพราะรู้สึกเหมือนแมนจู แล้วหน้าผากเราก็ โอ้โห!! มันมาก
เมื่อหลายปีก่อนคุณริก้าประสบอุบัติเหตุระหว่างการเล่นสโนว์บอร์ด ที่นิเซโกะ ประเทศญี่ปุ่น แต่ก็สู้อุตส่าห์ทนเจ็บเล่นต่อไปโดยไม่ไปพบแพทย์ และทนผ่านไปเป็นปี จนในที่สุดเธอต้องเข้ารับการผ่าตัด
“เราเป็นคนเล่นกีฬาด้วยการดู ซึ่งสมองจะจำ ตอนเด็กๆ เราดูแล้วเล่นได้เลย แต่พอวัยนี้ลืมคิดไปว่าเราไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เราไปเล่นสโนว์บอร์ด คือเมื่อก่อนเล่นเก่ง แล้วทีนี้ไม่ได้ดูว่าพื้นเป็นน้ำแข็ง ไม่ใช่หิมะ ก็เลยล้มโดนก้นกบ โดยที่เราไม่คิดว่าจะล้ม ก็เลยไม่ทันได้ยันมือไว้ ทำให้กระดูกทับเส้นประสาท ก็กินยาแก้ปวดและแปะกอเอี๊ยะทั้งตัว แล้วบังคับตัวเองให้ไปเล่นเพื่อให้คุ้ม เพราะงกไง เราจ่ายตังค์มาแล้ว ไม่ยอมไปหาหมอที่โน่นและไม่ยอมกลับเมืองไทย เพราะคิดว่าตัวเองไหว
“ผ่านไปหนึ่งปี จำได้ว่าเดินลงเขาที่มิโคนอส จู่ๆ ขาข้างหนึ่งก็ไม่มีความรู้สึก โอ้โห…ช็อกมาก ขนลุกเลย รีบไปหาหมอทันที หมอบอกว่าเราโชคร้ายที่กระดูกทับเส้นประสาท คนอื่นเขาล้มแต่ไม่ทับ ก็เลยทำให้เจ็บมากจนเดินไม่ได้ แต่ไม่ได้คิดอะไร ตอนแรกหมอไม่ยอมผ่า ให้กินยาเป็นกำๆ เหมือนขนม จนรู้สึกว่ากินยามากขนาดนี้ไม่ได้ เดี๋ยวฉันติดยา ฉีดสเตียรอยด์ก็เอาไม่อยู่ ทำการรักษาทุกแบบที่ไม่ใช่การผ่าตัด ก็เลยตัดสินใจบอกหมอว่าต้องผ่าแล้วละ เพราะเดินไม่ได้ วิ่งไม่ได้แล้ว ไม่มีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกต่อไปแล้ว“

“เราขออย่างเดียวว่า คุณหมอขา ขอแผลเล็กๆนะคะ เพราะเดี๋ยวหนูใส่บิกินีไม่ได้ (หัวเราะ) ลูกบอก Mom ถามอะไรแบบนั้น ก็บอกลูกว่า No, this is very important for me. หมอได้ยินเราพูดแบบนี้ ก็เลยผ่าแค่แผลเดียว ทั้งที่ปกติต้องมี 2 แผล และหมอเย็บแผลด้วยตัวเอง ไม่ให้หมอผู้ช่วยเย็บ Knock on wood นะคะว่า ผ่าแล้วแฮปปี้มาก” สาวสองพันปีพูดพลางยิ้มกว้าง
ติดตามบทสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟเพิ่มเติมได้ในนิตยสาร HELLO!
‘ฉบับเดือนมิถุนายน 2565′ วางแผงแล้ววันนี้
? ติดต่อสั่งซื้อโทร 0 2676 8999 ต่อ 217 หรือ 084 079 5678
? สั่งซื้อออนไลน์ที่
shop.burdathailand.com หรือ Line ID: @hellomagazineth