คู่รักคู่นี้ คุณขิม ทิพย์ลดา พูนศิริวงศ์ ลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูล ‘เชาวนปรีชา’ ซึ่งเป็นที่รู้จักของชาวใต้ เพราะคุณปู่ (สัมพันธ์ เชาวนปรีชา)ของเธอเป็นนักธูรกิจใหญ่ใจบุญ ชอบช่วยเหลือสังคม ส่วนคุณฝน นรพล พูนศิริวงศ์ ลูกชายของคุณแหน (ผาณิต พูนศิริวงศ์) แห่งหนังสือพิมพ์แนวหน้า หนุ่มร่างใหญ่กับผมทรงสกินเฮดผู้ใจเย็นเป็นน้ำแข็ง ซึ่งความรักของทั้งคู่อาจเรียกว่ารักแรกพบก็เป็นได้
“ตอนนั้นขิมอายุ 16-17 มั้ง เรียกว่ายังอยู่โรงเรียนประจำอยู่เลย เจอกันครั้งแรกพี่ชายขิมที่ตอนนั้นเรียนอยู่สวิสฯไปเยี่ยมเพื่อน แล้วพี่ฝนเป็นเพื่อนกับเพื่อนของพี่ขลุ่ย ส่วนขิมเป็นเพื่อนสนิทของแฟนเพื่อนพี่ แล้วเขาเห็นเรา ก็ไปหาเบอร์ขิมจากไหนไม่รู้ โทรมาคุย เขียนจดหมายหาทุกวัน ที่บอกว่าทุกวันนี่ทุกวันจริงๆนะคะ แต่ขิมยังไม่ได้คิดเรื่องนี้ จะสนุกกับเพื่อนฝูงอย่างเดียว ขิมยังเก็บจดหมายของพี่ฝนและเพื่อนๆทุกคนที่เขียนมาหาอยู่เลย เพราะสมัยนี้คนเลิกเขียนจดหมายกันแล้ว ตอนนั้นด้วยความที่เราไม่ได้ชอบเขา เวลาเขาโทรมาก็จะบอกว่าเขาไปตรงๆว่าไม่ชอบ”
“จนกระทั่งขิมกลับเมืองไทย ปรากฏว่าเพื่อนสนิทขิมเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเพื่อนสนิทเขา ซึ่งอยู่ในซอยเดียวกับบ้านขิม เห็นเขานั่งตัวโตอยู่ (หัวเราะเบาๆ) เขาขอเบอร์โทรใหม่บอกว่าจะปรึกษาเรื่องออกแบบเสื้อทีมฟุตบอลของเขา แล้วตั้งแต่นั้นมาเขาก็โทรมาทุกวัน”
หลังจากคบกันได้สามปี ก็ถึงเวลาที่คุณฝนจะตกร่องปล่องชิ้นกับคุณขิมเสียที แต่ต้องผ่านการขอแต่งงานอยู่หลายครั้งด้วยกัน เพราะคุณฝนไม่ใช่ผู้ชายเจ้าคารมหรือโรแมนติก เขาเลือกที่จะขออนุญาตผู้ใหญ่เสียก่อน ซึ่งเจ้าสาวขาลุยอย่างเธอส่ายหัวดิก
“คุณพ่อพี่ฝนขอขิมให้พี่ฝนก่อนที่พี่ฝนจะเอ่ยปากเสียอีก แต่มันไม่ได้เพราะขิมว่าเขาต้องมาพูดกับขิมด้วยตัวเอง ขิมชอบทำอะไรหวานๆ แล้วเขาไม่เก็ท อย่างวาเลนไทน์ซึ่งไม่ใช่วันของใครเลย ขิมก็จะจัดโต๊ะสวย ทำอาหารเชิญคุณพ่อคุณแม่ทั้งสองฝ่ายมานั่งทานข้าว หรือวันแม่ ขิมก็จะชวนคุณแม่ทั้ง 2 ท่านมาทานข้าวแล้วนำดอกไม้มากราบท่าน”
“วันเกิดเขาขิมก็ซื้อแก้วแชมเปญชวารอฟสกี้ให้เขาคู่หนึ่ง ก็บอกเงื่อนไขเขาไปว่า เอาอย่างนี้ดีกว่าถ้าพี่จะให้ของขวัญขิม ปีนี้ขิมซื้อแก้วให้พี่ ปีหน้าพี่ซื้อให้ขิม อีกไม่กี่ปีมันก็จะเป็นเซ็ทใหญ่เอง ขิมว่าโรแมนติกดี กลายเป็นว่าจนป่านนี้ก็ยังมีแก้วอยู่แค่คู่เดียวอยู่เลย”
“รองเท้าคู่หนึ่งยังไม่เคยซื้อให้เลย วันเกิด วาเลนไทน์ วันครบรอบแต่งงานไม่มี (หัวเราะ) อย่างดอกไม้ ถ้าโกรธกันอาจจะได้บ้าง ขิมเคยได้ดอกไม้หนหนึ่งตอนที่ขิมบอกว่าเขาต้องขอแต่งงานด้วยตัวเอง ไม่งั้นขิมไม่แต่งด้วย จำได้ว่าไปทานข้าวด้วยกัน พอทานเสร็จเขาถือดอกไม้มาให้ ปรากฏว่าเขาอายมาก เพราะคนที่ร้านก็ดูลุ้น รีบเช็คบิล ย้ายร้าน ขิมก็ต่อว่าเขาว่าทำไมไม่ขอแต่งงานจริงจัง ต่อมาวันเกิดขิมเขาจัดเซอร์ไพรส์ให้ ชวนเพื่อนกับพี่น้องขิมมาเยอะเชียว หนนี้ถือเค้กวันเกิดมาแต่เขียนผิดเป็น Will you marry me?” คุณขิมพูดพลางหัวเราะร่วน
ในวันนี้ชีวิตของคุณขิมและคุณฝนเป็นไปอย่างเรียบง่าย และมีความบาลานซ์ทั้งเรื่องงานและชีวิตประจำวัน
“ในหนึ่งสัปดาห์ขิมจะเข้าออฟฟิศของตัวเองประมาณ 2 วัน ขิมมีบริษัทชื่อเคียงดอย โปรดักส์ ทำเรื่องฟองน้ำ และบริษัท ทิพย์ธนาพันธ์ จำกัด ตั้งแต่คบกับพี่ฝน คุณแม่พี่ฝนก็ชวนขิมเขียนคอลัมน์เรื่องแฟชั่นลงในแนวหน้าค่ะ แล้วพอมีรายการทีวีชื่อ ‘ผู้หญิงแนวหน้ากับคุณแหน’ คุณแม่พี่ฝนก็ชวนขิมเป็นพิธีกรค่ะ”
นอกจากเตรียมเสื้อผ้าของตัวเองในรายการแล้ว เธอยังดูแลเรื่องการแต่งกายของสามีด้วยเช่นกัน “เขาเป็นคนไม่แต่งตัวเลย” เธอพูดถึงสามีด้วยน้ำเสียงห่วงใย “ถ้าขิมไม่หามาให้ เขาก็ไม่คิดจะเปลี่ยนนะคะ รองเท้าจะเยินยังไงเขาก็ยังใส่ จนเราทนไม่ได้เอง เพราะถ้าเราดูแลตัวเองเนี๊ยบอยู่คนเดียวคงไม่เหมาะ แต่ขนาดดูแลแล้ว ก็ยังต้องเถียงกันอีกนะคะ เวลาให้เขาใส่รองเท้าที่ซื้อให้ หรือเสื้อตัวนี้ กางเกงตัวนี้ ถ้าตัวไหนใส่ไม่สบาย เขาก็ไม่ใส่ไม่เอา โชคดีที่ขิมไม่ได้ชอบผู้ชายเจ้าสำอางค์ แต่ชอบคนแต่งตัวสมาร์ทเรียบๆ ที่มีบุคลิกดี แต่ก่อนพี่ฝนผมฟู ขิมเลยแนะนำให้เขาตัดทรงสกินเฮด เดี๋ยวนี้สบายเลย ไม่ต้องมานั่งเซ็ทผม แถมยังดูแมนดี เขาชอบมาก”
“คนเราอยู่ด้วยกันมานานๆ มันจะเหมือนเป็นเพื่อนสนิท เป็นพี่เป็นน้อง ที่ห่วงใยดูแลกันและกัน ชีวิตจะแฮปปี้หรือไม่ มันแล้วแต่เราคิดนะคะ ถ้าเราคิดว่าทุกอย่างเป็นปัญหามันก็จะเป็นปัญหา ความสุขขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ใช้เวลาให้มีค่า ทำประโยชน์มากๆให้หนึ่งวันมันหมดไปอย่างไม่น่าเสียดาย ถ้าเกิดมันไม่ใช่ปัญหา ก็ไม่ต้องไปใส่ใจค่ะ”