จากความหลงใหลในแฟชั่นของ ‘แก๊ป-ปณิธิพัทธ์ สุขสมบูรณ์’ สู่แรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิต
หลายคนในแวดวงสังคมยกตำแหน่ง “เจ้าพ่อรันเวย์” ให้กับ ‘แก๊ป-ปณิธิพัทธ์ สุขสมบูรณ์’ เพราะเขามักปรากฏกายภายใต้ชุดเสื้อผ้าที่มาจากรันเวย์คอลเล็กชั่นใหม่ล่าสุดของแบรนด์หรูอยู่เสมอ ทว่าความหลงใหลในแฟชั่นของคุณแก๊ป หาใช่เพียงแค่ภาพที่ดูดีเฉพาะเปลือกนอกเท่านั้น หากแต่เขายังศึกษาไปถึงรากเหง้าและประวัติศาสตร์ของแต่ละแบรนด์โปรดอย่างลึกซึ้งถึงแก่น
ซึ่งนอกจากจะทำให้เขาเป็นแฟชั่นนิสต้าที่อัดแน่นไปด้วยองค์ความรู้ด้านแฟชั่นแล้ว ในบางแง่มุมของชีวิตคุณแก๊ปยังหยิบเอาแรงบันดาลใจจากการได้มีโอกาสเดินทางไปชมแฟชั่นโชว์มาจุดประกายสร้างพลังใจให้ตัวเองอีกด้วย

เสพจิตวิญญาณแฟชั่น
ด้วยพื้นฐานที่เป็นคนสนใจสิ่งใดแล้ว คุณแก๊ปมักจะศึกษาค้นคว้าลงลึกถึงความเป็นมาเป็นไป ตลอดจนรายละเอียดในทุกองศาอย่างเอาจริงเอาจังเสมอ ในส่วนของแฟชั่นคุณแก๊ปเริ่มเห็นความสำคัญขณะกำลังศึกษาปริญญาตรี เพราะเป็นช่วงเวลาที่เขาเริ่มเปิดตัวออกงานสังคม
“เมื่อโตขึ้นต้องเข้าสังคมต้องมีการแต่งตัว ก็รู้สึกว่าการแต่งตัวให้ดูดี เหมาะสมกับกาลเทศะ มันช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพของเราได้ในอีกระดับหนึ่งเลย แล้วยิ่งเราเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ พอได้ค้นคว้าไปถึงความเป็นมาของแบรนด์ในอดีต กลายเป็นว่าเราแต่งตัวด้วยความรักที่มีต่อแฟชั่นอย่างลึกซึ้ง คือไม่ได้แต่งให้ดูดีแค่ภายนอก แต่เราสัมผัสได้ถึงประวัติศาสตร์และคุณค่าของแต่ละแบรนด์ หรือแม้กระทั่งแรงบันดาลใจของแนวคิดในแต่ละคอลเล็กชั่น”
“อย่างเช่นเราเห็นสูทผ้ากำมะหยี่สีแดงไหล่ตั้งของ Gucci เราก็จะสืบย้อนไปถึงที่มาว่ามันได้แรงบันดาลใจมาจากงานของ ทอม ฟอร์ด (Tom Ford) สมัยที่ยังเป็นดีไซเนอร์ให้กุชชี่นะ เราก็จะยิ่งอิน ก็จะรู้สึกว่าอยากเป็นเจ้าของสูทตัวนี้ แก๊ปไม่ได้เลือกเพราะมันเป็นเทรนด์ใส่แล้วสวย และไม่ได้เลือกเฉพาะแบรนด์ที่อยู่ในกระแสเสมอไป”
“อย่าง Ferragamo แก๊ปก็ชอบเพราะแบรนด์นี้มีความเป็นมายาวนาน แล้วสมมติผ่านไปสิบปีเราหยิบมาใช้อีก คนเห็นก็ยังรู้สึกว่ามันทรงคุณค่าในตัวของมันเอง และเราก็รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของชิ้นงานที่มันเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์แบรนด์ เทียบได้กับเป็นคอลเล็กชั่นของสะสมส่วนตัวที่เราภูมิใจ เพราะแก๊ปซื้อเสื้อผ้าเพราะก็ชอบสะสมด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งถ้าเรารักที่จะสะสมแล้ว เราก็ต้องรู้ถึงเรื่องราวของมันด้วย เรียกว่าเราชอบเสพแฟชั่นไปถึงรากเหง้าและจิตวิญญาณของมัน”


สไตล์สะท้อนตัวตน
ว่ากันว่าเสื้อผ้านั้นสะท้อนตัวตนของผู้สวมใส่ คำนิยามนี้ดูจะบ่งบอกความเป็นคุณแก๊ปได้ลึกซึ้งตั้งแต่ภายนอกสู่ภายใน เพราะคุณแก๊ปรักในความหลากหลาย แต่ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกเติมเต็มต่อการสวมใส่เสื้อผ้าในลักษณะ คอมพลีตทั้งลุคจากแบรนด์เดียว เพราะเสมือนได้บอกเล่าแนวทางความคิดสร้างสรรค์ของแบรนด์นั้นๆ ต่อสายตาผู้พบเห็น
“แก๊ปเป็นคนที่หลากหลาย ชอบความหรูหรา ชอบมีรายละเอียดลูกล่น ชอบมีสีสันลวดลาย ถ้าถามว่าชอบแบรนด์อะไรที่สุด เราก็จะตอบไม่ได้ เพราะเรารู้สึกว่าแต่ละแบรนด์มันมีอัตลักษณ์บางสิ่งบางอย่างไม่เหมือนกัน และเทรนด์ในยุคนี้คือแต่ละแบรนด์พยายามตั้งใจออกแบบเสื้อผ้าให้สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็แบรนด์อย่างชัดเจนที่สุด ประมาณว่าเธอต้องใส่เสื้อผ้าแบรนด์ของฉันทั้งลุคนะ มันถึงจะคอมพลีต ซึ่งโดยส่วนตัวเราก็ชอบที่มันเป็นเทรนด์แบบนี้ด้วย เพราะเราค่อนข้างอินกับเรื่องราวของแต่ละแบรนด์อยู่แล้ว เราชอบใส่แบบโททัลลุคอยู่แล้วด้วย”
ประสบการณ์แฟชั่นวีคฤดูกาลล่าสุด
คุณแก๊ปเป็นอีกหนึ่งเซเลบริตี้ไทย ที่มีโอกาสเดินทางไปนั่งแถวหน้าสุดรันเวย์ของแบรนด์ชื่อดังระดับโลกมากมายติดต่อกันมาหลายปีแล้ว ในแฟชั่นวีคฤดูกาลล่าสุดนี้ คุณแก๊ปตั้งใจไปเติมเต็มแรงบันดาลใจใหม่ๆ จากแฟชั่นโชว์ที่ขึ้นชื่อว่าหาบัตรได้ยากยิ่งหลากหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น Dolce & Gabbana, Bottega Veneta, Maxmara, Dior และ Balmain
“ประทับใจ Dolce & Gabbana ทุกครั้ง บรรยากาศยังสนุกสนาน ตื่นเต้น และสีสันสวยงามเหมือนเดิม คือต้องยอมรับว่าเป็นแบรนด์ระดับโลกที่ยังคงการทำงานในลักษณะครอบครัวจริงๆ อยู่ ด้วยความที่เจ้าของและดีไซเนอร์เป็นคนเดียวกัน ทำให้รู้สึกว่าเอกลักษณ์และตัวตนของแบรนด์มันชัดเจนและแข็งแรงมาก”
“แก๊ปไปในฐานะลูกค้าของ Alta Moda ทุกครั้งที่ไปก็จะเจอโดมินิโก (Dominico Dolce) กับสเตฟาโน่ (Stefano Gabbana) มาต้อนรับอย่างดีและใกล้ชิดมาก ให้ความรู้สึกเหมือนเราเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว Dolce Family แล้วแต่ละแฮชแท็กที่เขาคิดขึ้นมาอย่าง #DGFamily หรือ #DGLove มันก็บ่งบอกเชื่อมโยงถึงตัวตนของแบรนด์จริงๆ”
สำหรับลุคชมแฟชั่นโชว์ของแบรนด์โปรด คุณแก๊ปเลือกใส่ชุดจากคอลเล็กชั่นใหม่ ซึ่งเป็นสูทที่เหมือนใช้สีสเปรย์มาพ่นทั้งตัว พร้อมให้เหตุผลว่า “มันไม่ใช่ทุกแบรนด์ที่ทำชุดสีเลอะเทอะออกมาแล้วดูดี แล้วมันก็เป็นสีสันสไตล์เราด้วย”


“ฝั่งปารีสแก๊ปชอบ Balmain และครั้งนี้เป็นครั้งแรกของแก๊ปที่ได้มาดูแฟชั่นโชว์ในรูปแบบมิวสิกสเตเดียม บัลแมงเป็นแบรนด์ที่แก๊ปชอบตัวดีไซเนอร์ซึ่งก็คือ โอลิวิเยร์ รูสแตง (Olivier Rousteing) เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คอลเล็กชั่นนี้มีการใช้ลายพิมพ์ภาพวาดจากยุคเรเนสซองส์ เสริมความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์โดยใช้พวกกระดุม บ่าบั้งต่างๆ แล้วการที่ได้ แชร์ (Cher) นักร้องดังระดับตำนานมาเดินฟินาเล่ มันเติมเต็มเรามากเลย”
โดยแฟชั่นโชว์ของ Balmain คุณแก๊ปเลือกเปลี่ยนลุคมาเป็นสไตล์ร็อคๆ เท่ๆ ผ่านการสวมใส่แจ็คเก็ตเฟอร์ลายโมโนแกรมสีขาวดำที่เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ไปดูโชว์
“อีกแบรนด์ที่เจ๋งดี คือ Bottega Veneta เขามีเทคนิคที่เอาหนังมาทำให้เหมือนเป็นผ้ายีนส์ หรือเป็นเชิ้ตคอตตอนลายตารางได้เนียนมาก คือในความเรียบหรูแอบซ่อนไปด้วยรายละเอียดลูกเล่นที่มันไม่ใช่เห็นแค่ตา มันต้องอาศัยการศึกษาไปถึงแนวความคิดหรือกระบวนการผลิต ซึ่งมันยิ่งสร้างคุณค่าให้กับแต่ละชิ้นงาน และมันเชื่อมโยงตอบโจทย์ในความหลงใหลที่เรามีให้กับแฟชั่นในรูปแบบนี้มากๆ อยู่แล้วด้วย”

พลังขับเคลื่อนสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า
เมื่อถามว่าได้สิ่งใดจากความหลงใหลในแฟชั่นบ้าง คุณแก๊ปกลับด้วยเสียงสดใสว่า “สิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การแต่งตัวดีมีเอกลักษณ์ ก็สร้างความมั่นใจ และให้ความสุขกับตัวเราเองและผู้พบเห็น”
ขณะเดียวกันในมุมของความเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับโลกอันมีประวัติศาสตร์มายาวนาน เปรียบได้กับตำรับตำราอันทรงคุณค่าน่าศึกษาว่าด้วยวิชาการการปลุกปั้นแบรนด์ “แต่ละแบรนด์กว่าจะเติบโตมาได้ ล้วนมีแง่มุมที่เราสามารถถอดบทเรียนมาใช้ในการทำงานได้ สิ่งหนึ่งที่เรามองเห็นคือ การที่เราจะปั้นแบรนด์สักแบรนด์หนึ่งขึ้นมา มันต้องลงลึกและไม่ลืมรากเหง้า ยิ่งคนยุคนี้ชอบเสพอะไรที่มีเรื่องราวมีคอนเซ็ปต์ที่พวกเขารู้สึกเข้าถึงได้ การที่แฟชั่นมันมีประวัติศาสตร์ในตัวของมันเอง ก็ยิ่งทรงคุณค่าในระยะยาว”
อีกหนึ่งพลังงานที่ดีจากแวดวงแฟชั่นที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง หากแต่คุณแก๊ปสัมผัสได้ตัวเอง นั่นคือแรงบันดาลใจที่ปลุกเร้าให้เขาไม่ยอมหยุดนิ่งอยู่กับที่
“แฟชั่นทำให้ชีวิตมีสีสันชีวิตชีวา ทุกครั้งที่ไปแฟชั่นวีค มันปลุกให้เรารู้สึกอย่างหนึ่งว่า ชีวิตมันก็เหมือนแฟชั่นนะ ในแต่ละซีซั่นแบรนด์ต้องสร้างสรรค์สิ่งที่ดีขึ้น ต้องสร้างความเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ทำให้คนว้าวได้ใหม่ในทุกๆ หกเดือน คนที่ทำงานในวงการแฟชั่นนี่เก่งนะ เพราะต้องมองหาความสดใหม่อยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่เราไปดูแฟชั่นโชว์ส่วนใหญ่มากกว่า 80% คือเลิศ คือว้าวหมด เพราะฉะนั้นเราจึงรู้สึกว่านี่แหละคือแรงบันดาลใจ ว่าชีวิตเรามันต้องมีการเปลี่ยนแปลงในมุมที่ดีขึ้น เราต้องไม่ย่ำอยู่กับที่เดิม”