‘ชลธิดา-วงศ์วิวัฒน์-พงศ์วิวัฒน์’ สามพี่น้องผู้ปลุกปั้น Karmart สู่หนึ่งในผู้นำเครื่องสำอางแบรนด์ไทย
อยากพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่าแบรนด์เครื่องสำอางไทยมีศักยภาพในการผลิตและการส่งออกได้ไม่แพ้ชาติใดในโลก กว่าสิบปีที่ผ่านมา 3 ผู้บริหารคนสำคัญอย่าง คุณเก๋-ชลธิดา สถาวรวิจิตร, คุณก็อป-วงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล และ คุณแก๊ป-พงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล ตลอดจนทีมงานทั้งหลาย จึงช่วยกันปลุกปั้น KARMART จนกลายเป็นหนึ่งในธุรกิจเครื่องสำอางแถวหน้าของอาเซียน เป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าในกลุ่มความงามมากกว่า 10 แบรนด์ โดยแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ Cathy Doll และ Baby Bright และยังถือเป็นที่หนึ่งของธุรกิจเครื่องสำอางแบรนด์ไทยที่มีการเติบโตอย่างน่าสนใจในตลาดหลักทรัพย์อีกด้วย

ปัจจุบันทั้งสามพี่น้องดูแล KARMART ตามความถนัดของแต่ละคน ‘คุณเก๋’ พี่สาวคนโต รับตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาด ‘คุณก็อป’ รับตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานบริหารและพัฒนาธุรกิจ ดูแลในส่วนการต่างประเทศ ทั้งการส่งออกและ New Business ตลอดจนงาน HR และ IT ส่วน ‘คุณแก๊ป’ รับตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาดและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์
จากรถขายสินค้าสู่แบรนด์เครื่องสำอางพันล้าน
เส้นทางการสร้าง KARMART หรือ บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) มีรากฐานมาตั้งแต่สมัยคุณพ่อของทั้งสามท่าน คือคุณวิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล ผู้ก่อตั้งธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ Distar ที่ดำเนินการผลิตมายาวนานหลายสิบปี “Distar เข้าตลาดหลักทรัพย์ประมาณปี 2537 ในนามของ บริษัท ไดสตาร์ อิเล็คทริก คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แต่ราวสิบกว่าปีก่อนมีนโยบายลดกำแพงภาษีนำเข้าระหว่างไทย-จีน รวมถึงประเทศในเขตอาเซียน จนเหลือเป็นศูนย์ จึงต้องเริ่มปรับทิศทางของธุรกิจขนานใหญ่” คุณก็อปเล่า
ลูก ๆ ที่เริ่มเรียนจบจึงได้ทยอยเข้ามาช่วยงานครอบครัวที่ผันตัวจากการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า มาจับธุรกิจยานยนต์ รถบัสที่ใช้เชื้อเพลิง NGV แต่หลังจากนั้นไม่นานนโยบายของภาครัฐก็เปลี่ยนอีกครั้ง ทำให้ต้องระดมความคิดปรับแนวทางใหม่ ๆ จนเกิดเป็นยุคเริ่มต้นของ KARMART
“ช่วงนั้นเราจับธุรกิจหลายอย่าง ทั้งธุรกิจอาหารสำเร็จรูปแบบ Chilled Food ไปจนถึงการนำรถบัส NGV ที่ไม่ได้ใช้งานมาดัดแปลงเป็น Mobile Market ขายสินค้าอุปโภค บริโภค ตระเวนไปจำหน่ายตามตลาดนัด แล้วให้ชื่อแบรนด์ว่า KARMART พอทำไปได้สักระยะ
ผมกับแก๊ปก็บินไปตระเวนหาสินค้าจากทั่วเอเชียมาขายเพิ่ม จนเริ่มเห็นภาพว่าสินค้าหมวดเครื่องสำอางไปได้ดีที่สุด จึงเริ่มตัดสินค้ากลุ่มอื่นออก แล้วเน้นที่หมวดความงามอย่างเดียว พอสินค้าเรามีมากขึ้นเกือบ 2,000 รายการ ลูกค้าก็อยากให้เปิดเป็นร้าน แทนที่จะขายบนรถ เราเลยเริ่มลองเปิดร้านแรกโดยใช้พื้นที่ออฟฟิศที่บางแคทำเป็นร้านตัวอย่าง”
คุณก็อป-วงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล

สินค้าที่นำเข้าในช่วงนั้นเน้นกลุ่มสินค้าเครื่องสำอางจากเกาหลี ซึ่งกำลังเริ่มเป็นเทรนด์ที่นิยมของตลาด หนึ่งในนั้นคือ BB Cream ที่อยู่ในช่วงเริ่มต้น คุณแก๊ปเล่าว่าช่วงนั้น BB Cream ยังไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากนัก เขาสั่งสินค้ามาแล้วยังขายได้ไม่ดี เลยคิดหาวิธีการนำเสนอใหม่ เปลี่ยนจากครีมที่ใช้ทาหน้า มาใช้เป็นครีม BB ทาตัวแทนผลลัพธ์คือเสียงตอบรับดีมากโดยเฉพาะในกลุ่มพริตตี้ที่นำมาใช้พอกตัวให้ขาวเนียน เกิดเป็นกระแสครีมพริตตี้นับแต่นั้น
“การทำธุรกิจสินค้านำเข้า เมื่อทำไปได้สักพักมักจะติดปัญหาคู่แข่งสินค้า บางแบรนด์ที่เราทำสัญญาเป็น Sole Distributor ตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวของแต่ละเจ้าอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ก็มักโดนตัดราคาด้วยผู้ที่นำเข้าแบบหนีภาษี จนเราต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ด้วยการเริ่มมาทำแบรนด์สินค้าของตัวเอง” คุณแก๊ปกล่าว นั่นคือจุดเริ่มต้นของเครื่องสำอางแบรนด์แรก และยังเป็นแบรนด์ขายดีตลอดกาลของบริษัทที่ใช้ชื่อว่า Cathy Doll “แคธี่เป็นชื่อเล่นของเก๋ในภาษาต่างประเทศ” คุณเก๋กล่าว
ส่วนคุณแก๊ปเสริมว่า “เราสร้างคาแร็กเตอร์ของ Cathy Doll ให้เป็นเหมือนตัวแทนของสาวเกาหลี ที่ต้องการมีภาพลักษณ์ที่สวยงามขึ้นแบรนด์ Cathy Doll เริ่มต้นจากการที่เรามองถึงปัญหาของคนไทย เราไม่ได้มองว่าจะต้องเป็นคนสวยแล้วเราทำให้เขาสวยขึ้น แต่เรามองที่คนที่มีปมด้อยอยู่ แล้วเราสามารถช่วยแก้ไขจุดบกพร่องให้ ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นจากสิ่งที่ไม่มั่นใจ ดังนั้นสินค้าแรก ๆ ที่เรานำเสนอออกมาจึงค่อนข้างแตกต่างจากท้องตลาดเริ่มจากตัวครีมพอกผิวขาว หรือครีมพริตตี้ ตอบโจทย์คนไทยที่ส่วนใหญ่มีผิวสองสี ทำให้ครีมขายดีมาก”
เมื่อจับจุดได้ถูกต้องจากแบรนด์ Cathy Doll จึงก้าวมาสู่ Baby Bright และแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น Jejuvita, Boya, Reunrom, Browit, Intimi ฯลฯ เติบโตอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันสามารถสร้างรายได้นับพันล้านต่อปี

เน้นสินค้าคุณภาพในราคาจับต้องได้
ตลอดระยะกว่าทศวรรษของการดำเนินธุรกิจ คุณแก๊ปเผยถึงจุดแข็งของ Karmart ว่า “จุดแข็งของเราอันดับแรกคือเป็นสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐาน นำเข้าจากแล็บชั้นนำทั่วโลก ผู้ผลิตที่เราใช้เป็นเจ้าเดียวกับ International Brand ระดับโลก เพราะฉะนั้นเราจึงสามารถส่งออกไปญี่ปุ่น ไปตะวันออกกลางหรืออเมริกา ในขณะเดียวกันสินค้าของเราแต่ละชิ้น
ราคาไม่ได้สูงมาก ส่วนใหญ่ราคาจะไม่เกิน 500 บาท”
เราพยายามคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนไทยได้ใช้สินค้าคุณภาพในขณะที่ราคาจับต้องได้ และตอบโจทย์กับสิ่งที่เขาติดลบอยู่ เปลี่ยนขึ้นมาเป็นบวกได้ สมกับสโลแกนของ KARMART ที่ว่า Unique Beauty Solution สยบจบทุกปัญหาสวย”
คุณแก๊ป-พงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล

รวมสินค้าดูแลความงามของคนไทยแบบ Head2Toe
สินค้าของ KARMART มีหลากหลายคอนเซปต์แยกย่อยออกไปตามแบรนด์ เริ่มจาก Cathy Doll เครื่องสำอางที่จับกลุ่มวัยรุ่นสไตล์เกาหลี ส่วน Baby Bright เป็นเครื่องสำอางสำหรับคนที่เริ่มทำงานได้ระยะหนึ่งแล้วและอยากจะกลับมาดูเด็กอีกครั้ง เน้นสารสกัดจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเมคอัพหรือสกินแคร์ Jejuvita เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ดูแลรูปร่าง ผิวพรรณ Reunrom รื่นรมย์ เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสปาเช่นน้ำมันหอมระเหย ดิฟฟิวเซอร์ สเปรย์ปรับอากาศ
BOYA เป็นผลิตภัณฑ์กลุ่ม Bath Care และ Hair Care Skynlab ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากระดับพรีเมียม แบรนด์ที่เน้นเกี่ยวกับจุดซ่อนเร้นโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับสูตินรีแพทย์ในการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย Acca ผลิตภัณฑ์ที่ดูแลในเรื่องของสิวครบวงจร ตั้งแต่ป้องกันการเกิด การรักษาสิว และการลดรอยที่เกิดจากสิว
นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ที่เกิดจากความร่วมมือกับเหล่ามืออาชีพ บิวตี้บล็อกเกอร์ ได้แก่ Browit เป็นแบรนด์ที่จับมือกับน้องฉัตร เมคอัพอาร์ติสชื่อดัง ออกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เน้นเฉพาะเปลือกตา และคิ้ว ไม่ว่าจะเป็นดินสอเขียนคิ้ว ไลเนอร์เขียนคิ้ว อายไลเนอร์ มาสคาร่าในขณะที่ THA เป็นแบรนด์ที่ร่วมมือกับน้องฉัตรเช่นกันแต่เป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสกินแคร์และเมคอัพ จับกลุ่มวัยรุ่น Lip It เป็นแบรนด์ที่ลงทุนร่วมกับ นัท นิสามณี ยูทูบเบอร์ ซึ่งเน้นผลิตภัณฑ์บำรุงริมฝีปากมีทั้งแบบบาล์มแบบตลับ แบบกระปุก แบบพอก แบบมาสก์
“เร็วๆ นี้เรากำลังจะออกแบรนด์ใหม่ที่จับมือร่วมกับ Miss Grand International โดยจะออกภายใต้บริษัท KMGI ซึ่ง K มาจาก KARMART และ MGI มาจาก Miss Grand International โดยแบรนด์แรกที่จะออกคือ Beautilox มีคอนเซปต์คือ สวยล็อกมง เป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มสกินแคร์ บำรุงผิวหน้าและผิวกาย อีกแบรนด์คือ Face IT เป็น Colour Make up ที่เน้นคอนเซปต์ Face It-Fierce It ซึ่งเป็นคาแร็กเตอร์ของนางงามที่มีความมั่นใจมีลูกเล่นในตัว ในขณะเดียวกันด้วยความเป็นนางงามก็ต้องสวยเป๊ะทุกองศา” คุณแก๊ป เล่าเพิ่มเติม

ปรับภาพลักษณ์ KARMART SHOP สู่มาตรฐานเดียวกัน
ปัจจุบันสินค้าจากหลายแบรนด์ในเครือ KARMART มีจำหน่ายทั้งในร้านค้าส่ง และช่องทางโมเดิร์นเทรดอย่างในมัลติแบรนด์ สโตร์, ซูเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ นอกจากนี้เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมสินค้านับหลายร้อยรายการจากทุกแบรนด์ ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจึงมีการดึง KARMART SHOP ที่แต่เดิมดำเนินธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ กลับมาบริหารโดยบริษัท เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
“เนื่องจากเราบางช่องทางเราไม่สามารถนำสินค้าทั้งหมดไปจัดจำหน่ายได้ เราจึงจัดทำ KARMART SHOP ขึ้นมาเพื่อให้ลูกค้าได้รู้ว่าสินค้าทั้งหมดมีอะไรบ้าง ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งแต่เดิมเราทำเป็นแฟรนไชส์แต่ปัจจุบันดึงกลับมาดำเนินการเองทั้งหมด เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เน้นเปิดในทำเลศักยภาพที่สามารถเข้าถึงได้สะดวกสบายมากขึ้น เช่น ในห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้าต่าง ๆ ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 10 กว่าสาขา” คุณแก๊ปเล่า
นอกจากนี้แบรนด์ Reunrom รื่นรมย์ ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นรูป ‘ครก’ เพื่อสื่อถึงการเป็นผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทย และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากชาวไทยและชาวต่างชาติ จนต้องเปิดช็อปแบบสแตนด์อโลนแยกออกมาแล้วกว่า 11 สาขา และปลายปีนี้จะมีการเปิดแฟล็กชิพ สโตร์ บนถนนทรงวาด ซึ่งเป็นถนนที่มีประวัติศาสร์มาอย่างยาวนาน และสะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมเก่า-ใหม่เช่นเดียวกับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี

ปีแรกของการก้าวสู่ธุรกิจให้บริการด้านความงาม
หนึ่งใน KARMART SHOP กว่า 10 สาขาคือ สาขาซีคอน สแควร์ ที่เป็นแฟล็กชิพ สโตร์ ซึ่งนอกจากมีสินค้าครบครันยังมีบริการใหม่อย่าง K Brown ที่เป็นการจับมือกับ The Beauty Arts ของ มาสเตอร์หญิง-ยุคลฉัตร จันทคร โดยคุณแก๊ปเล่าถึงธุรกิจใหม่ว่า “ปีนี้เป็นปีแรกที่เรามุ่งสู่ธุรกิจบริการด้านความงาม ธุรกิจแรกที่เราเลือกทำคือ ‘การสัก’ โดยได้รับความร่วมมือจากโปรเฟสชั่นนอลด้านการสักคิ้วอย่าง The Beauty Arts ทำแบรนด์ขึ้นใหม่คือ K Brown บริการสักครบวงจรทั้งสักคิ้ว, สักขอบตา, สักปาก, สักไรผม รวมไปถึงบริการต่อขนตา โดยมาสเตอร์ที่ผ่านการอบรมและได้รับประกาศนียบัตรจากประเทศเกาหลี”
“จุดเด่นของเราคือใช้เทคนิคพิเศษจากเกาหลี และมีเทคนิคหลากหลายให้เลือกตามความต้องการ เช่น การสักคิ้วมีทั้งการสัก 3 มิติ, 6 มิติ, Micro Bleeding, Ombre เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเทคนิคที่เป็นซิกเนเจอร์อย่าง K Brown Real Stroke มีเฉพาะที่ K Brown เท่านั้น เป็นการสักแบบไล่สีในหนึ่งเส้น ซึ่งต้องใช้ความชำนาญพิเศษ และใช้เวลาในการสักค่อนข้างนาน แต่มีการคิดค้นขึ้นใหม่เพื่อให้เกิดแผลน้อยที่สุด ไม่เจ็บ ไม่ตกสะเก็ด และไม่ต้องรอสีหลุด สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที”

ทีมเวิร์กที่เป็นต่อ
การทำงานแบบทีมเวิร์กของสามพี่น้อง เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ KARMART สามารถเติบโตมาได้อย่างมั่นคง ซึ่งการทำงานร่วมกันเช่นนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัยที่ทั้งสามยังเยาว์
“เก๋เรียนจบปริญญาตรีด้านการบัญชี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้วไปต่อปริญญาโทสาขาการตลาด การเงิน จากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เลยเข้ามาดูเรื่องการตลาด ซึ่งก็รวมไปถึงการขายทุกช่องทาง ยกเว้นด้านต่างประเทศที่คุณก็อปจะเป็นคนดู นอกจากนี้ก็ยังดูแลค่าใช้จ่ายของบริษัททั้งหมด” คุณเก๋กล่าว
คุณก็อปนั้นเรียนจบด้านวิศวกรรมสำรวจ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ด้วยความที่ชอบติดต่อประสานงาน และมีความสามารถด้านภาษามากที่สุด จึงได้รับมอบหมายให้ดูแลทั้งด้านการส่งออก ควบด้วยการดูแลฝ่าย HR และ IT
ในขณะที่คุณแก๊ปเรียนจบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความถนัดด้านงานดีไซน์ ภารกิจด้านการพัฒนาสินค้าจึงตกอยู่ในมือทั้งหมด “ผมดูแลทั้งในส่วนของ New Product Development ดูเรื่องของการพัฒนาแบรนด์พัฒนาสินค้า การออกแบบสินค้า กราฟิก บรรจุภัณฑ์ทั้งหมด รวมถึงเรื่องของการทำโฆษณา ประชาสัมพันธ์และการเลือกช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ”

ด้วยความที่เติบโตมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจ ได้เห็นภาพของการทำงานจากคุณพ่อมาตลอด ทำให้สามพี่น้องต่างเคยมีประสบการณ์การทำงานร่วมกันมาตั้งแต่เด็ก “ครอบครัวเรามีพี่น้อง 4 คน คุณเก๋เป็นพี่คนโต ผมเป็นลูกคนรอง ตามด้วยคุณแก๊ป เราสามคนอายุห่างไม่มากแค่ 1 – 2 ปี อย่างผมและคุณแก๊ป เราเกิดวันเดียวกันแต่คนละปี” คุณก็อปเล่า “เซนส์การทำธุรกิจของพวกเรานั้นเริ่มมาตั้งแต่เด็ก อย่างช่วงมัธยมต้นผมไปเรียนที่สิงคโปร์ ตอนนั้นภาพยนตร์เรื่องไททานิคกำลังดัง มีโปสเตอร์ เข็มกลัด ของต่าง ๆ เกี่ยวกับหนังออกมาขาย ซึ่งที่สิงคโปร์จะมีราคาแพงมาก ถ้าเทียบกับในไทย พอปิดเทอมกลับมาเยี่ยมบ้านผมก็ลองซื้อกลับไปขายเพื่อน ๆ ที่นั่น”
คุณเก๋เสริมว่า ในทางกลับกันคุณก็อปก็จะซื้อขนมจากสิงคโปร์ที่ไม่มีขายในประเทศไทยกลับมา แล้วให้คุณแก๊ปไปขายที่โรงเรียนในไทย “จริง ๆ สิ่งที่เราทำตอนเด็ก ๆ นั้นก็คล้ายกับตอนนี้ คือต่างคนต่างทำสิ่งที่ตัวเองถนัด แล้วเอามารวมกันเป็นธุรกิจ อย่างสมัยก่อนเมนทอสสีม่วงรสองุ่น กับเลย์สีดำยังไม่มีขายในไทย คุณก็อปเขาก็ซื้อมาให้คุณแก๊ปเอาไปขาย ส่วนตัวเก๋เองก็มีทำสร้อยเล็ก ๆ น้อย ๆ ช่วยกันขายกับคุณแก๊ป ทำเล่นกันสนุก ๆ”
การที่เรามีความถนัดกันคนละด้านก็ถือเป็นความได้เปรียบในการทำงาน อย่างคุณแก๊ปเขาเป็นสายอาร์ต ชอบครีเอตสิ่งใหม่ ๆ ส่วนเก๋จะเข้าไปเติมเต็มเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ ที่เขาอาจยังไม่ได้ลงลึก รวมไปถึงส่วนการขาย”
คุณเก๋ – ชลธิดา สถาวรวิจิตร

ดีเอ็นเอคนทำงาน
แม้จะมีวิธีการทำงานและหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต่างกันไป แต่สิ่งที่ทั้งสามคนพยักหน้าเห็นตรงกันคือการเป็นคนชอบทำงานขั้นสุด และบุคคลที่ทั้งสามเห็นเป็นแบบอย่างก็คือคุณพ่อ “คุณพ่อเป็นคนทำงานตลอดเวลา เราสามคนซึมซับจุดนี้มาเต็ม ๆ แม้แต่เวลาไปต่างประเทศก็ยังทำงานตลอด อย่างตอนเด็ก ๆ พวกเราจะมีโอกาสได้ตามคุณพ่อไปประชุมระดับนานาชาติที่ต่างประเทศได้ไปเปิดหูเปิดตา และได้เห็นว่าชีวิตการทำงานแบบมืออาชีพของผู้ใหญ่เขาเป็นแบบนี้ เขาโฟกัสเรื่องงานเขาถึงได้ประสบความสำเร็จ” คุณแก๊ปเล่า
“พอมาถึงรุ่นเรา ระหว่างทำงานกับเที่ยว มันจึงแยกกันไม่ออก สมมุติว่าเป็นช่วงหยุดยาวตอนสงกรานต์ที่ผ่านมา เราก็ไปต่างประเทศเหมือนกัน แต่ไปทัวร์โรงงานแทน (หัวเราะ) ไป 6 วัน ดู 7 โรงงาน ไปดูอะไรใหม่ๆ ที่จะนำมาใช้ในงานได้ เราสนุกและแฮปปี้กับสิ่งที่ทำ”
ส่วนคุณก็อปคอนเฟิร์มว่า “ปกติช่วงก่อนโควิดผมเดินทางเดือนละ 3 – 4 ครั้ง และไม่ชอบอยู่ยาว เราวางเป้าหมายไว้ว่าจะไปทำอะไร ดูอะไร พอไปถึงก็รีบจัดการให้เสร็จ ถ้าต้องค้างจะก็เลือกให้ค้างน้อยที่สุด ซึ่งคุณพ่อก็เป็นแบบ อย่างทริปยุโรป ถ้าไปกับคุณพ่อจะใช้เวลาไม่เกิน 3 วัน รีบทำงานรีบกลับ ไม่มีแบบที่เลือกอยู่ต่ออีก 2 – 3 คืนเพื่อให้คุ้มค่าตั๋ว ซึ่งเราเป็นเหมือนกันทั้งบ้าน”
พบกับความสำเร็จของสามพี่น้องผู้บริหาร Karmart ในบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ทางนิตยสาร HELLO! VOL. 18 NO. 6 (ฉบับเดือนมิถุนายน) วางแผงแล้ววันนี้!