ความรักที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น พาสินี ลิ่มอติบูลย์ – สุรัชนี ลิ่มอติบูลย์ – กิตติวิทย์ รังสิมานนท์
ความรักเป็นสิ่งสากลที่ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าใจ โดยเฉพาะความรักที่แม่มีต่อลูก ซึ่งเป็นความรักที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ เช่นเดียวกับความรักของคุณยายไก่ – พาสินี ลิ่มอติบูลย์ ที่มีต่อคุณแม่กุ๊กกุ๊ก – สุรัชนี ลิ่มอติบูลย์ และความรักที่คุณแม่มือใหม่ส่งต่อแก่ลูกชายวัย 1 ขวบ 4 เดือน น้องริท-เด็กชายกิตติวิทย์ รังสิมานนท์ ทั้งสามรุ่นต่างก็มีส่วนเสี้ยวของกันและกันอยู่ในสายเลือด เป็นสายใยที่ไม่ว่าตัดเท่าไรก็ไม่ขาด
น้องริทเป็นเด็กจ้ำม่ำ แข็งแรง และเสียงดัง ชอบเล่นกับเจ้าเฮงเฮง สุนัขพันธุ์เฟรนช์บุลด็อกซึ่งถือได้ว่าเป็นรุ่นพี่เพราะอยู่มาก่อน นอกจากนี้ยังเป็นเด็กช่างกิน คุณยายไก่บอกว่าเหมือนคุณกุ๊กกุ๊กตอนเด็กๆ ไม่มีผิด
“น้องริทรูปร่างหน้าตาเหมือนพ่อเขา แต่เรื่องนิสัยใจคอเหมือนแม่มากเลย (หัวเราะ) ใจร้อนเหมือนแม่ ถึงได้บอกว่าอยากขอให้หน้าตาเหมือนแม่ ใจเย็นเหมือนพ่อหน่อยไม่ได้หรือ (หัวเราะ) เวลาเขาจะเอาอะไรแล้วจะกรี๊ดทันที ก็จะบอกให้ริทใจเย็นๆ จะเอาอะไรให้ค่อยๆ บอก เราเป็นยายก็จะพยายามท่องไว้ว่าดุไม่ใช่หน้าที่เรา ก็คอยเตือนหลานไม่ให้ทำอะไรนอกลู่นอกทาง แต่จะไม่จู้จี้จุกจิกกับเขา”
คุณแม่กุ๊กกุ๊กเองก็เห็นด้วยกับคุณไก่เรื่องน้องริทกินเก่ง “เขากินเก่งมากค่ะ คุณแม่บอกว่าเหมือนกุ๊กกุ๊กตอนเด็กๆ เลย ป้อนอะไรก็กินหมด เขาชอบอากาศหนาว แต่นอนยาก ขี้โวยวาย แต่ก็เป็นเด็กอารมณ์ดี ไม่กลัวคนแปลกหน้า ชอบเรียนรู้ เห็นอะไรก็สนใจไปหมด นอกจากนี้ยังเป็นเด็กสมาธิดีชอบอ่านหนังสือ อ่านตัวเลข ตอนนี้ชอบอ่านทะเบียนรถ”
ด้วยความที่ท้องตอนอายุเริ่มไม่น้อย จึงทำให้คุณไก่ห่วงเป็นพิเศษ “ตอนกุ๊กกุ๊กท้อง ไก่เป็นห่วงเขามากที่สุดเลยเป็นห่วงทุกจุด ต้องคอยถาม เพราะเขาอายุเยอะแล้ว ไม่ได้ท้องตอนเด็กๆ แบบคนอื่น แต่สมัยนี้คนท้องตอนอายุมากมีเยอะ ไม่เหมือนรุ่นแม่รุ่นยาย เพราะกว่าจะเรียนจบก็ช้าลง แถมบางคนยังต้องทำงานก่อนเรียนโทอีก เลยยิ่งช้าไปเรื่อยๆ แต่ไม่อยากไปยุ่งมาก เพราะเห็นว่าเขาโตแล้ว ตัดสินใจเองได้ แล้วเขาต้องตัดสินใจร่วมกับปริชญ์ทุกเรื่องอยู่แล้ว ก็จะคอยดูอยู่ห่างๆ คอยตั้งคำถามมากกว่าว่าเรื่องนี้คิดหรือยังเรื่องนั้นคิดหรือยัง”
ตอนคลอดนั้นคุณกุ๊กกุ๊กตั้งใจมาตลอดว่าอยากคลอดแบบธรรมชาติ “ตอนแรกว่าจะคลอดธรรมชาติ เพราะอยากมีประสบการณ์การคลอดเองเหมือนคุณแม่ที่คลอดกุ๊กกุ๊กกับแก๊ปเอง เข้าห้องคลอดตั้งแต่บ่ายสองจนถึงตีสามก็ยังไม่คลอดสักทีจนคุณหมอมาบอกว่าหัวใจเด็กเริ่มเต้นอ่อน เด็กอาจเป็นอันตรายถ้ารอให้คลอดตามธรรมชาติ จะผ่าไหม เพราะใกล้จะครบสิบสองชั่วโมงที่น้ำคร่ำหมดแล้ว ก็เลยตัดสินใจผ่า ปรากฏว่าใช้เวลาผ่าแค่ห้านาทีเด็กก็ออกมาแล้ว นึกในใจรู้งี้ผ่าไปนานแล้ว (หัวเราะ)”
อันที่จริง HELLO! นัดสัมภาษณ์คุณไก่และคุณกุ๊กกุ๊กกำหนดวันเรียบร้อย แต่ปรากฏว่าน้องริทกลับป่วยก่อนวันนัดเพียงวันเดียว และเป็นการนอนโรงพยาบาลครั้งแรกของพ่อหนูน้อย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คุณกุ๊กกุ๊กเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่อย่างแท้จริง
“ตอนที่ต้องให้น้ำเกลือเขา สงสารริทมาก เพราะเขาเรียกแม่ให้ช่วย ก่อนเขาป่วยกุ๊กกุ๊กเห็นเขาเป็นเด็กผู้ชายอยากเล่นอะไรปล่อยให้เล่นให้วิ่งหกล้มก็ช่าง เพราะถ้าคอยไล่จับตลอด เราก็จับไม่ไหวอยู่ดี แต่ครั้งนี้รู้สึกสงสารที่เห็นเขาโดนเข็มเจาะ เขาร้องหาแม่ๆ รู้สึกว่าเขาพึ่งพาเรามาก เราต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้แข็งแรง ห้ามตาย
“ก็เพิ่งมาคิดได้ ทั้งที่เรื่องนี้กุ๊กกุ๊กได้ยินคนอื่นพูดมาตั้งนานแล้ว แต่เพิ่งจะรู้สึกว่าเราต้องเป็นหลักให้เขา เราตายไม่ได้ เข้าใจหัวอกคนเป็นแม่เลย ตอนนี้เริ่มอยากตรวจร่างกาย เพราะกลัวว่าเราจะไม่สบายเป็นอะไร อย่างน้อยก็ขอมีชีวิตอยู่เพื่อลูกเพราะลูกยังเล็ก นี่คือเพิ่งเข้าใจ” คุณแม่มือใหม่บอกกับเรา
สำหรับความรักลูกและรักหลานของคุณยายไก่นั้นมีความแตกต่างกัน โดยคุณไก่บอกว่า “ความเป็นห่วงหลานน้อยกว่าห่วงลูกเยอะเลย ความรักของคนเป็นยายจะสบายกว่า ความรักของคนเป็นแม่ทำให้เราเป็นห่วงชีวิตตัวเองมาก จะภาวนาตลอดเวลาว่าไม่อยากเป็นอะไรไปเลย จะกลัวมากระวังตัวมาก ไม่อยากทำอะไรที่เสี่ยง เพราะลูกยังเล็ก เราตายไปเสียคนใครจะเลี้ยงลูกใครจะดูแลลูก ทั้งที่ความจริงสามีก็มีน้องสาวก็มี แต่ก็ยังเป็นห่วง”
ถามว่าคุณกุ๊กกุ๊กจะเริ่มมีลูกอีกคนเมื่อไรดี “ตอนนี้กุ๊กกุ๊กก็อายุ 39 แล้ว ถ้าโชคดีมีได้ก็อยากมีลูกอีกสักคนเหมือนกัน เพราะว่าตอนนี้พอกุ๊กกุ๊กโตขึ้น รู้สึกดีใจที่ตัวเองมีน้องเพราะเหมือนเป็นเพื่อนกันทั้งที่ตอนเด็กๆชอบทะเลาะกันทำให้โดนคุณแม่ดุเรื่องนี้บ่อยๆ ค่ะ”
ติดตามได้ในนิตยสาร HELLO! ปีที่ 15 ฉบับที่ 07 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563
หรือดาว์นโหลดฉบับดิจิตอลได้ที่ www.ookbee.com , www.shop.burdathailand.com