ความสนิทสนมของเซเลบริตี้คู่แม่ลูก ‘คุณแพม -ประนัปดา พรประภา จิราธิวัฒน์’ และ ‘น้องภาโรห์’ ลูกชาย วัย 12 ขวบ คนเดียวของเธอ ทำให้เราได้เห็นความน่ารักหลายๆ มุม ของทั้งคู่ ไม่ว่าจะไปไหนมาไหน ก็ตัวติดกันตลอด และยังทำกิจกรรมด้วยกันอยู่บ่อยๆ ก่อนหน้าที่โควิดจะระบาด ก็พากันไปเล่นสกี ดำน้ำ เล่นเวคเซิร์ฟ ฯลฯ เหมือนเป็นเพื่อนคู่ซี้ต่างวัยกันเลย




“เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียวของแพมด้วยมั้งคะ และมีช่วงหนึ่งที่แพมต้องเป็นซิงเกิ้ลมัมด้วย เราก็เลยมีแค่กันและกัน แต่ทั้งนี้คุณพ่อเขาก็มาหา และมีส่วนร่วมในการดูแลลูกนะคะ แต่เราสองคนจะมีความผูกพันกันมากๆ เป็นความรู้สึกที่อธิบายยากเหมือนกันค่ะ อย่างแพมเองก็มีพี่น้องสามคน ด้วยนิสัยที่ไม่เหมือนกัน แต่ละคนก็มีความผูกพันกับพ่อแม่ในแบบที่ต่างกัน
“ส่วนความผูกพันกับลูกก็เป็นอีกแบบ เพราะเราเลี้ยงเขามาเอง ยิ่งเมื่อ 2 ปี ก่อน เราย้ายไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาด้วยกันสองคน ยิ่งทำให้เราสนิทกันมาก ตอนอยู่เมืองไทย เรายังมีครอบครัว พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย หลานๆ แต่พอไปอยู่ที่นั้นเราไม่ได้มีญาติๆ เยอะขนาดนี้ ไม่ได้มีพี่เลี้ยงคอยดูแลช่วยเหลือ ก็เลยเป็นช่วงเวลาที่เราได้ใช้ชีวิตด้วยกันแค่สองคนจริงๆ กลายเป็นความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ทั้งความสนิทสนม ใกล้ชิด ทุกอย่างมีแค่เราสองคนเท่านั้น” คุณแพมเกริ่นถึงความผูกพันระหว่างเธอและลูกชายให้ฟังก่อนเป็นอันดับแรก
จากนั้นก็เล่าถึงวิธีการเลี้ยงลูกในสไตล์ตัวเอง “ด้วยความที่ลูกเล่าทุกอย่างให้เราฟังหมดเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีนะ แต่ก็มีความยากเหมือนกัน เพราะบางครั้งเราก็จะอยากเป็นเพื่อนกับเขา แต่เราไม่ใช่เพื่อนเขาจริงๆ ยิ่งตอนนี้เขาเริ่มจะเป็นวัยรุ่น ความท้าทายยิ่งมากขึ้น แพมจึงพยายามเลี้ยงเขาแบบให้อิสระ ไม่บังคับให้เขาทำในสิ่งที่เราต้องการ ปล่อยให้เขาหาสิ่งที่เขาชอบจนเจอด้วยตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเขา สร้างความมั่นใจให้กับเขา และทำให้เขาเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุด แพมพร้อมสนับสนุนทุกอย่างที่ลูกเลือก ชอบหรือไม่ชอบ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยๆ เราได้เปิดโอกาสให้เขาได้ลอง นี่แหละคือหน้าที่ของเรา จากนั้นก็เป็นการตัดสินใจของเขา”

‘คุณแม่แพม -ประนัปดา พรประภา จิราธิวัฒน์’ คนเก่งของ ‘น้องภาโรห์’ ลูกชายวัย 12 ขวบ
ในวันที่ต้องเป็น ‘ซิงเกิ้ลมัม’
“เอาจริงๆ ก็เป็นเรื่องยากเหมือนกันค่ะ เพราะปกติต้องมีสองคน คือพ่อและแม่ ที่สามารถสร้างความแตกต่างให้เขาเห็นได้ เช่น คนหนึ่งอาจจะเป็นคนคอยดุคอยเตือนเขา ส่วนอีกคนจะทำหน้าที่โอ๋และปลอบเขาได้ แต่พอมีคนเดียว เราก็ต้องเป็นทั้งสองอย่าง ทั้งดุและโอ๋ บางครั้งก็กลายเป็นความสับสนทั้งตัวลูกและตัวเราด้วยนะ ยอมรับเลยว่าเป็นอะไรที่ไม่ได้ง่าย ยิ่งพอเราเป็นแม่ก็จะมีความโอ๋มากกว่า แต่หลังๆ ก็ต้องเปลี่ยนโหมดดุหรือตักเตือนลูกด้วย เมื่อเขาทำผิด ซึ่งลูกเองก็เข้าใจ เพราะทุกครั้งที่เขาโดนดุเสร็จ สุดท้ายเขาก็มาหาเราให้เราโอ๋ไปด้วย”
ถึงแม้เจ้าตัวจะบอกว่า “ไม่ง่าย” แต่ข้อดีของการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ทำให้คุณแม่คุณลูกคู่นี้สนิทกันมากๆ แค่มองตาก็รู้ใจกันเลย “วันไหนที่เขาเศร้า แค่แพมมองเขา แพมก็จะรู้เลยว่าเขารู้สึกยังไง หรือวันไหนที่แพมเหนื่อยๆ เศร้าๆ เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าแม่ต้องเป็นอะไรแน่ๆ ”

ส่งลูกเข้านอน เวลาอันมีค่าของ ‘แม่’
“เราจะมีกิจกรรม ‘The rose and the thorn’ หลังจากกินมื้อเย็นของทุกๆ วัน นั่งพูดคุยถึงเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ของแต่ละคน และถามว่าวันนี้มีอุปสรรคหรือเรื่องราวไม่ดีอะไรเกิดขึ้นด้วยไหม ถือเป็นหัวข้อบทสนทนาที่เราทำกันเป็นประจำ เพื่อสรุปเรื่องราวชีวิตในแต่ละวันของเราด้วย ส่วนก่อนนอนอาจจะมีเรื่องแถมในสิ่งที่แต่ละคนอยากแชร์เพิ่มเติม หรือถ้าไม่มี ลูกจะขอแค่เกาหลังให้หน่อย แล้วก็หลับไปค่ะ เพราะบางครั้งเราก็ทำงานยุ่งทั้งวัน ไม่ค่อยได้คุยกับเขา แต่เวลาแค่ 10 นาทีนี้เราสองคนได้อยู่ด้วยกันจริงๆ เป็นช่วงเวลาที่ล้ำค่ามากๆ เลยค่ะ”