แลนด์มาร์คแห่งหนึ่งของ จ. ชลบุรี ที่เชื่อว่าหลายคนคงจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง เพราะ “บ้านสุขาวดี” บนเนื้อที่ประมาณ 80 ไร่นั้น ได้รับความนิยมไม่น้อยสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนเรียกว่าแวะเวียนมาไม่ขาดสาย แต่วันนี้ HELLO! จะพามารู้จัก สาวสตรอง…ซิงเกิลมัมคนสวย ทายาทสหฟาร์ม ‘คุณน้ำผึ้ง-จารุวรรณ โชติเทวัญ‘ ลูกสาวเจ้าของอณาจักรแห่งนี้นี่เอง

เจ้าของอาณาจักรแห่งนี้คือ ‘ดร. ปัญญา โชติเทวัญ’ อดีตข้าราชการพยาบาลทหารเรือและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำเทศบาล ผู้ผันอาชีพมาเป็นเกษตรกรเลี้ยงไก่ด้วยทฤษฎีของตัวเอง เกือบครึ่งศตวรรษที่เขาลองผิดลองถูก นำพา ‘สหฟาร์ม’ ผ่านวิกฤตหลายอย่างมาได้ด้วยมันสมองและสองมือของตัวเอง และเป็นบริษัทแรกของเมืองไทยที่มียอดการส่งออกไก่ไปต่างประเทศสูงเป็นอันดับหนึ่ง

สายเลือดนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาและทุกอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาทดสอบความแข็งแกร่ง ได้ส่งผ่านดีเอ็นเอมายังทายาททุกคน โดยเฉพาะสาวเก่งและแกร่งที่เป็นอีกกำลังสำคัญในการช่วยบริหารงาน ‘คุณน้ำผึ้ง’ ลูกสาวคนเดียวท่ามกลางพี่ชายและน้องชายทั้ง 4 คน ของคุณพ่อปัญญาและคุณแม่ ดร.มนูญศรี ก็ขอพูดถึงคุณพ่อในความรู้สึกของตัวเองบ้าง

“สำหรับน้ำผึ้งแล้ว คุณพ่อเป็นนักปรัชญาบวกกับนักจินตนาการ ท่านอัจฉริยะมาก เพราะคนเราคิดเก่งอย่างเดียว แต่ไม่ลงมือทำ ก็ไม่มีอะไรมาวัดความสำเร็จได้ คุณพ่อเลี้ยงไก่ก็จะนึกถึงสุขทุกข์ของมันตลอดเวลา นั่งคิดหาวิธีว่าทำยังไงให้ไก่ที่เลี้ยงมีความสุข ท่านก็นึกถึงไก่ที่หากินเองตามธรรมชาติว่ามีข้อดีอย่างไร ก็พบว่าเล้าไก่ที่เราเลี้ยงในฟาร์มเป็นเล้าปิด จะมีแสงสว่างต่อเมื่อเราเปิดไฟ ไม่เคยได้รับแสงอาทิตย์จากธรรมชาติเลย ท่านก็เลยสั่งให้คนงานทำหลังคาใหม่ เปิดช่องแสงตามการคำนวณของท่านว่าพระอาทิตย์ขึ้นตรงไหน จะตกกระทบแสงลงมาที่องศาเท่าไหร่ แล้วต้องทำยังไงให้แสงแผ่กระจายไปได้ ผลที่ได้คือไก่แข็งแรงขึ้น น้ำหนัก FCR (ประสิทธิภาพในการเปลี่ยนน้ำหนักอาหารมาเป็นน้ำหนักสัตว์) ดีขึ้น ผลพลอยได้คือประหยัดค่าไฟไป 30% ลดต้นทุนได้แถมยังมีกำไรเพิ่มจากน้ำหนักไก่ที่สูงขึ้นอีกด้วย” เสียงคุณน้ำผึ้งกับแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมในตัวบุพการี “น้ำผึ้งรู้เลยว่าคุณพ่อไม่ธรรมดา” เธอหัวเราะเมื่อสรุปนิยามให้ ดร.ปัญญาได้

“แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ ที่ท่านให้เราทำโดยไม่ได้บอกเหตุผลอะไร แต่เราก็มาเข้าใจเมื่อโตแล้วครับ อย่างเวลาที่ครอบครัวเรามาพร้อมหน้ากันตอนวันพ่อบ้าง หรือวันปีใหม่บ้าง ท่านก็จะให้ลูกทุกคนพูดอะไรก็ได้ แต่ต้องถือไมค์พูดนะ บรรยากาศเหมือนอยู่ห้องประชุม แต่แวดล้อมไปด้วยพี่ๆ น้องๆ ทุกคนก็จะไม่เขินอาย กล้าพูด นี่คือการฝึกฝนของคุณพ่อให้พวกเรามีทักษะในการพูดต่อหน้าคนหมู่มากหรือในที่สาธารณะ” ‘คุณก้อง-เทวัญ’ พี่ชายของคุณน้ำผึ้งกล่าว

อาจจะพูดได้ว่า ความเป็น ดร.ปัญญา ทั้งบุคลิกท่าทาง นิสัยใจคอ มุมมองความคิด และการถือปฏิบัติตัวของท่าน คนรอบข้างที่อยู่ใกล้ต่างซึมซัมมาโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่เฉพาะลูกๆ ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากอย่าง ดร.มนูญศรีก็เช่นกัน
‘ผมบอกลูกอย่างเดียวว่าเขาคือคน’
“ ‘จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว’ เคยได้ยินไหมครับ” ดร.ปัญญาหันมาถาม “ถ้าคุณคิดว่าแพ้ คุณจะแพ้ทันที แต่ถ้าคุณฮึดสู้ โลกนี้จะไม่มีใครเอาชนะคุณได้เหมือนอย่างผม ต่อให้ใครเหยียบผมจมดินลงไป แต่วันใดที่ผมขึ้นจากดินได้ ผมคือคู่ต่อสู้ของคุณตลอดชีวิต ผมจะให้หลักการใหญ่ๆ ในชีวิตกับลูกๆ แต่จะไม่บังคับเขา เพราะถ้าทำอย่างนั้น ก็เปรียบเหมือนการเลี้ยงปลาในตู้ที่เราต้องให้อาหารมันตลอดชีวิต ผมส่งลูกทุกคนเรียนต่างประเทศ เพราะเป็นหน้าที่ของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ต้องมอบการศึกษาที่ดีเปิดโอกาสให้ลูก แต่ประสบการณ์ชีวิตนอกห้องเรียน พวกเขาต้องไขว่คว้าเอาเอง”
“น้ำผึ้งเลยกล้าที่จะเลือกชีวิตครั้งใหม่ให้ตัวเองอีกครั้งค่ะ”
คุณน้ำผึ้งที่มีรอยยิ้มหวานละมุนชวนให้ผู้พบเห็นเก็บไปประทับใจผู้นี้ ภายใต้รอยยิ้มและความสดใสร่าเริงของเธอนั้น เมื่อได้พูดคุยกันจริงจัง ถึงได้ทราบว่าก่อนจะเข้มแข็งเป็นลูกที่ดีและเป็นคุณแม่ที่มีคุณภาพเช่นทุกวันนี้ได้ ก็เคยผ่านวิกฤตชีวิตคู่มาแล้ว เธออาจไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการผ่านสื่อใดๆ ถึงสถานภาพของตัวเองที่กลับมาโสดอีกครั้ง แต่หากใครถามเธอก็ไม่คิดจะปิดบัง

“วันที่พาลูก (น้องญาร่า ด.ญ.ธันยพัต ภัคดีมงคลโรจน์) กลับมาอยู่กับครอบครัว คุณแม่พูดกับน้ำผึ้งว่า ‘น้ำผึ้งโชคดีมากนะ เพราะญาร่าคือสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิต ถ้าไม่แต่งงานก็จะไม่ได้รับของขวัญนี้’ พอคิดตามก็เห็นจริงอย่างที่ท่านบอก ลูกเราฉลาด หน้าตาน่ารัก เชื่อฟังเรา จะไปหาของขวัญอย่างนี้ได้จากที่ไหนล่ะ ทำให้น้ำผึ้งไม่เคยเสียใจและไม่เคยคิดว่าการแต่งงานคือความผิดพลาดหรือความล้มเหลวในชีวิต แต่นี่คือประสบการณ์ น้ำผึ้งเชื่อเสมอว่าสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดีเสมอ คุณพ่อเคยบอกว่า อย่าคิดว่าปัญหาคือปัญหา ให้มองว่านี่คือโอกาส ให้เราได้ฝึกใช้สติปัญญาแก้ไขอุปสรรคชีวิตให้ผ่านพ้น การเกิดปัญหาคือบททดสอบที่พระเจ้าประทานมาให้เรา ถ้าเราผ่านไปได้ ก็จะเรียนรู้ในการใช้ชีวิตได้มากขึ้น”

หลังจากใช้เวลาถึง 2 ปีในการประคับประคองชีวิตคู่ แล้วพบว่าตัวเองและลูกไม่มีความสุข “เมื่อเราเครียด ใจเป็นทุกข์ วิตกกังวล การทำงานก็ไม่เต็มที่ ไม่มีกะจิตกะใจจะเลี้ยงลูก สุดท้ายกระทบทุกอย่างตั้งแต่ ลูก งาน และตัวเราเอง รวมถึงคนรอบข้างที่รักเราด้วย” คุณน้ำผึ้งตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา โดยมีครอบครัวของตัวเองเป็นกำลังใจให้เสมอ “คุณพ่อบอกน้ำผึ้งว่า คนเรามีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะให้ชีวิตตัวเองเป็นแบบไหน น้ำผึ้งเลยเลือกชีวิตในแบบที่ควรจะเป็น”
“วันนี้ชีวิตน้ำผึ้งดีมากๆ อยู่แล้ว แต่ถ้าวันหนึ่งจะมีใครเข้ามา น้ำผึ้งก็ไม่ปิดกั้น ขอแค่เป็นคนดี ซึ่งเพื่อนๆ พี่ๆ ก็พร้อมจะช่วยน้ำผึ้งสแกนค่ะ” เธอกล่าวทิ้งท้ายไว้ ทำให้เรารู้ว่าเธอเป็นซิงเกิลมัมที่ช่างมีความสุขเหลือเกิน
ติดตามเรื่องราวความน่ารักและความอบอุ่นของสองแม่ลูกได้ใน
นิตยสาร HELLO! ฉบับวันที่ 15 ก.พ. 2561
หรือดาว์นโหลดฉบับดิจิตอลได้ที่ www.ookbee.com หรือ www.shop.burdathailand.com