เผยครั้งแรกที่นี่… ‘โอ๊ค-อัครรัฐ วรรณรัตน์’ กับงานอดิเรกที่ทำเต็มตัวมาตลอด 15 ปีเต็ม
เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตากับเป็นอย่างดีสำหรับเซเลบริตี้หนุ่มรูปงาม ‘คุณโอ๊ค-อัครรัฐ วรรณรัตน์’ เจ้าของธุรกิจนำเข้าเฟอร์นิเจอร์ระดับไฮเอนด์ ซึ่งวันนี้ HELLO! ได้มีโอกาสมาเยือนบ้านหลังใหญ่ท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบายตลอดทั้งปีอย่างเขาใหญ่ กับบรรยากาศของบ้านสไตล์โมเดิร์นหลังนี้ตั้งอยู่บนเนิน นอกจากลมเย็นๆ ที่พัดมาไม่ขาดสายแล้ว ยังเห็นวิวธรรมชาติที่โอบล้อมด้วยขุนเขาตระหง่านทอดตัวยาวได้เต็มสองตา จนเผลอยืนกางสองแขนเงยหน้าสูดโอโซนบริสุทธิ์เข้าปอดกันคนละหลายๆ ฟอดอย่างไม่รู้ตัว ผู้เป็นเจ้าของบ้านยื่นหน้าใสๆ ออกมากล่าวต้อนรับ ก่อนเดินนำพาไปยังพื้นที่ส่วนกลางบริเวณชั้นสอง ณ บ้านตากอากาศของครอบครัวหลังนี้ แล้วทุกคนก็ยืนอึ้งตะลึงกับโอเพนสเปซที่โอ่โถงกว้างใหญ่กว่าที่เคยเห็นในห้องรับแขกทั่วๆ ไป

นอกจากขนาดพื้นที่ที่เรียกความสนใจตั้งแต่แรกเห็นแล้วสิ่งที่สะดุดตาต่อมาคือความโอเวอร์ไซส์ของหลายๆองค์ประกอบในโซนนี้ไม่ว่าจะเป็นโซฟาสไตล์มินิมอลโมเดิร์นจากอิตาลียาว 8 เมตรโคมไฟม้าหมูและกระต่ายขนาดเท่าสัตว์จริงและโต๊ะรับประทานอาหารที่สั่งทำพิเศษขนาด 24 ที่นั่ง!!! นอกจากนี้หากสังเกตจะเห็นของตกแต่งหลายชิ้นที่เติมสีสันและความสนุกให้กับบรรยากาศโดยรวมของห้องนี้

ก่อนพูดคุยลงลึกในรายละเอียดถึงคอนเซปต์และเทคนิคการเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ตกแต่งบ้านหลังนี้จากคุณโอ๊คผู้รับหน้าที่เลือกสินค้าทุกชิ้นในร้าน MOTIF ด้วยตัวเองและโดนใจคนรักบ้านมานักต่อนักแล้วโดยที่เจ้าตัวไม่เคยร่ำเรียนด้านอินทีเรียดีไซน์มาก่อนเลยนั้นแค่นี้ก็ดูเหมือนว่าชีวิตที่คุณโอ๊คพยายามออกตัวว่าปกติธรรมดานั้นน่าจะมีความไม่ธรรมดาสอดแทรกอยู่แน่นอน
ว่าตาม ‘แม่’
ชีวิตในวัยเยาว์โดยเฉพาะด้านการศึกษาต่อที่ต่างประเทศของคุณโอ๊คนั้นแม้เป็นไปตามสเต็ปชีวิตที่คุณแม่ (คุณบุญเสริม วรรณรัตน์) วางไว้ให้แต่ถือเป็นสีสันและประสบการณ์ชีวิตที่เจ้าตัวไม่เคยลืมเลยนับตั้งแต่ได้ย้ายไปอยู่ The Scott College โรงเรียนประจำชายล้วนเก่าแก่แห่งหนึ่งของออสเตรเลียหลังจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจากเมืองไทย

เหตุผลที่คุณแม่ส่งลูกชายคนโตไปเรียนที่เมืองสงบเงียบอย่างซิดนีย์นั้น เพราะมีคุณเอด้า(คุณวนิดา) กับคุณพร สิทธิอำนวย และคุณสดาวุธ – คุณอรวรรณ เตชะอุบล ผู้ใหญ่คนสนิทคอยช่วยดูแลเป็นหูเป็นตาแทนให้
“การอยู่โรงเรียนประจำมีกฎระเบียบที่ต้องปฏิบัติตามทำให้ทำอะไรเป็นหลายอย่างตอนนั้นอาจรู้สึกลำบากแต่นึกย้อนกลับไปก็ขำๆดีความที่ยังเด็กก็ยังปรับตัวง่ายและที่โรงเรียนก็มีกิจกรรมให้ทำเยอะทั้งเล่นสกีขี่ม้าพายเรือแคนูปั่นจักรยานส่วนกีฬาโอ๊คก็เลือกที่เล่นง่ายๆไม่ต้องใช้ทักษะมากถ้าเป็นหน้าหนาวโอ๊คเลือกวิ่ง cross country จำได้เลยว่าวันแรกวิ่งแค่ 2 กิโลเมตรก็เหนื่อยแทบแย่แล้วเพราะสมัยเด็กโอ๊คอ้วนมากแต่สถิติที่ตัวเองวิ่งได้ไกลที่สุดคือ 20 กิโลเมตรถ้าเป็นหน้าร้อนก็ว่ายน้ำแทน”
น้ำเสียงคนเล่าดูมีความสุขกับชีวิตนักเรียนในต่างแดนไม่น้อย แม้จะมีเพื่อนนักเรียนไทยร่วมโรงเรียนแค่ไม่กี่คน แต่ก็ไม่ได้อึดอัดกับกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ หรือรู้สึกเหงาจนอยู่ไม่ได้ แล้วถ้าถามถึงเหตุการณ์ที่ประทับใจเป็นพิเศษล่ะ เจ้าตัวแทบไม่ต้องเสียเวลานึกเลย

“ช่วงวินเทอร์โรงเรียนจะให้ไปเข้าค่ายในป่าที่สร้าง facilities ต่างๆไว้คือไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น 6 เดือนเลยไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ต้องกินอาหารที่กำหนดให้มีแค่นักเรียนอาจารย์และทีมพยาบาลนั่งเรียนไปก็มีฝูงนกบินหรือจิงโจ้กระโดดผ่านอยู่ข้างนอกห้องพอถึงวันหยุดครูจะพาไปปล่อยไว้บนเกาะแล้วแบ่งกลุ่มนักเรียนให้อยู่กันเองโดยต้องเปิดไฟฉายส่องส่งเป็นสัญญาณตามเวลาที่ตกลงกันเพื่อให้ครูที่อยู่อีกเกาะรู้ว่ายังปลอดภัยดี หรือไม่ครูก็พาไปปล่อยในป่าพร้อมเข็มทิศ ให้หาทางมายังจุดหมายปลายทางกันเอง เป็นการสอนให้เด็กเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกัน รู้จักการแบ่งหน้าที่กัน และการรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้า” ทั้งน้ำเสียงและแววตาของคุณโอ๊คเป็นประกายแสดงถึงความสนุกที่ได้หวนนึกถึงความหลังที่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเพื่อนๆ โดยเฉพาะตอนนอนแล้วลมหอบเต็นท์ปลิวไปทั้งหลัง หรือตอนเดินตามเข็มทิศแล้วหลงทางจนมืดเลยเหนื่อยหลับผล็อยกันข้างทาง ตื่นมาถึงได้รู้ว่าเป็นฟาร์มเพราะได้ยินเสียงฝูงวัวร้อง เจ้าตัวถึงกับหัวเราะตบท้ายตามมา “มองย้อนกลับไปก็สนุกดีครับ”
จุดเปลี่ยนชีวิต
หลังจบไฮสกูลคุณโอ๊คเลือกศึกษาต่อคณะวิศวกรรมศาสตร์สาขาวิศวกรรมโยธามหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ตามคำแนะนำของคุณแม่อีกเช่นเคยเจ้าตัวยิ้มรับก่อนเล่าว่า “ท่านอยากให้เรียนวิศวะครับเพื่อจะได้ฝึกคิดให้เป็นระบบ” แม้คุณโอ๊คไม่ได้เรียนวิชาพื้นฐานด้านวิศวะมาเลยแต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถของเขาแถมยังคว้าเกียรตินิยมอันดับสองมาครองได้อีกต่างหาก เมื่อเรียนจบคุณโอ๊คตัดสินใจกลับเมืองไทยหลังจากไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศนับสิบปีและเลือกศึกษาต่อปริญญาโทที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนอกจากได้ความรู้ด้านบริหารธุรกิจอย่างที่สนใจแล้วยังถือเป็นการสร้างคอนเน็กชั่นไปในตัวเพราะตัวเองห่างหายสังคมไทยไปหลายปี
ขณะเรียนที่ศศินทร์ คุณโอ๊คพอมีเวลาว่างอยู่บ้างจึงตัดสินใจเปิดร้านเฟอร์นิเจอร์นำเข้าจากต่างประเทศโดยหุ้นกับเพื่อนๆที่สนใจด้านงานดีไซน์และการแต่งบ้านเหมือนกันก่อนหน้านี้คุณโอ๊คเองจับผลัดจับผลูได้ช่วยคุณแม่ตกแต่งอพาร์ตเมนต์สำหรับให้เช่าทำให้ส่วนตัวแล้วเขามั่นใจในตัวเองระดับหนึ่งทว่านี่ไม่ใช่แค่การเลือกเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งห้องหรือหาพร็อพส์มาทำห้องตัวอย่างเพื่อถ่ายภาพโปรโมตอพาร์ตเมนต์เหมือนที่เคยทำ แต่ต้องอ่านใจและคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าให้ได้ เพราะของที่เลือกนำเข้ามานั้นต้องขายได้ด้วย
กว่าจะมาเป็นร้าน MOTIF
เชื่อว่าเป็นร้านเฟอร์นิเจอร์แบรนด์หรูที่เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ชื่นชอบเฟอร์นิเจอร์ระดับไฮเอนด์เฉกเช่นปัจจุบันนี้ เริ่มจากคุณโอ๊ค และหุ้นส่วนบินตรงไปอิตาลีเพื่อชมงานมิลานแฟร์ ซึ่งเป็นงานแสดงเฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่ที่สุด โดยไปล่วงหน้าก่อนวันงานและอยู่ต่อหลังงานจบ เพื่อติดต่อเจรจาธุรกิจในการนำเข้าเฟอร์นิเจอร์มาขายในร้าน
เบื้องหน้าดูเป็นการเริ่มต้นที่มุ่งมั่นและเอาจริงอยู่ไม่น้อยแต่เบื้องหลังหน้าใหม่ทางธุรกิจเพิ่งคิดชื่อร้านว่า MOTIF ได้ 3 วันก่อนเดินทางและรุ่งขึ้นอีกวันก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าการไปติดต่อธุรกิจจำเป็นต้องมีนามบัตร นามบัตรชุดแรกของหุ้นส่วนทุกคนจึงสั่งพิมพ์ด่วนจากช็อปตามห้าง
“นอกจากความใหม่ในการทำธุรกิจแล้วคนอิตาเลียนก็พูดภาษาอังกฤษได้บ้างไม่ได้บ้าง ยิ่งทำให้การเจรจาธุรกิจครั้งแรกของเราเต็มไปด้วยความกังวล เพราะเราไม่รู้เลยว่าเขาทำกันยังไง ราคาที่แจ้งมามีส่วนลดหรือยัง เราขอต่อรองได้ไหม แล้วจะโดนโกงหรือเปล่า โอนเงินแล้วจะได้ของอย่างที่ตกลงกันไหม แต่ทุกอย่างก็ผ่านมาได้”
การเริ่มต้นจากศูนย์เริ่มค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในที่สุดเมื่อร้าน MOTIF แห่งแรกเปิดขึ้นที่ย่านสารสิน “พอคุณแม่ทราบว่าจะทำธุรกิจ ก็เลยให้ใช้พื้นที่ตึกของครอบครัวด้วยเหตุผลว่า ‘ทำธุรกิจใหม่ๆ เกิดติดขัดจ่ายค่าเช่าไม่ได้ ถ้าไปเช่าที่อื่นคงค้างค่าเช่าเขาไม่ได้ แต่ถ้าเช่าที่ของที่บ้านยังไงก็คุยกันได้’ (หัวเราะ)”
ลูกค้าคนแรกที่จำได้ไม่ลืม
ลูกค้าคนแรกคุณโอ๊คจำได้ไม่ลืมนั่นคือ ‘คุณเหมี่ยว-พราวพรรณ เลาหพงศ์ชนะ’ ดีไซเนอร์สาวคนเก่งที่กำลังมองหาเฟอร์นิเจอร์หรูเพื่อแต่งบ้านให้เศรษฐีระดับแถวหน้าของเมืองไทยท่านหนึ่งอยู่ในขณะนั้น “ครั้งนั้นทำให้รู้ว่าการรู้จักหรือได้คุยกับอินทีเรียดีไซเนอร์ก็เป็นอีกช่องทางสำคัญในการขายสินค้าของเรา” เดือนถัดมาลูกค้าคนสำคัญคือคุณคริส จาติกรัตน์กับพาร์ตเนอร์ชาวสิงคโปร์ที่เดินดุ่มเข้ามา เพราะชอบสไตล์เฟอร์นิเจอร์ของร้าน เลยอยากให้ไปช่วยหาเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบูติกนาฬิกาหรูของบริษัท คอร์ติน่า วอทช์ที่ศูนย์การค้าเอราวัณ แบงค็อก “เราไม่ได้รู้จักกันมาก่อน คุณคริสมีแบบที่อยากได้ในใจ เขาอยากให้เราช่วยหาเฟอร์นิเจอร์ตามแบบที่ต้องการและผลิตให้ด้วย เลยมาติดต่อถามว่ารับจัดหาและผลิตเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งช็อปด้วยไหม ทำให้เราเล็งเห็นว่า
นอกจากกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ที่หาซื้อเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านแล้ว ก็ยังมีลูกค้าที่เป็นกลุ่มรีเทลแบบนี้อีกด้วย หลังจากนั้นเราก็มีลูกค้ากลุ่มรีเทลมาเรื่อยๆ รวมทั้งโรงแรมและห้างสรรพสินค้าที่เป็นลูกค้าเราด้วย”
แบรนด์อื่นเจ๊ง แต่ MOTIF โต!!
แม้ว่าเฟอร์นิเจอร์แบรนด์อื่นจะทะยอยปิดตัวไป แต่ MOTIF กลับมียอดขายเพิ่มขึ้นสองปีซ้อนคงไม่ใช่ผลพลอยได้จากปัจจัยเหล่านั้นเท่านั้นแน่แล้วอะไรล่ะที่ทำให้ MOTIF ยืนหยัดอยู่ได้ขณะที่ร้านเฟอร์นิเจอร์ไฮเอนด์บางร้านได้ออกจากวงการไปแล้ว
คุณโอ๊คยิ้มมุมปากเล็กๆแล้วตอบสั้นๆชัดถ้อยชัดคำว่า “สิ่งที่คนอื่นมองว่าเป็นจุดอ่อนของเรา นั่นอาจเป็นจุดแข็งของเรา” จากนั้นก็อธิบายขยายความต่อว่า “เราไม่ได้เรียนดีไซน์ ไม่ได้จบอินทีเรียเหมือนอย่างเจ้าอื่นที่เขาทำกันอยู่แล้ว แต่เราเลือกของจากความรู้สึกในฐานะของความเป็นลูกค้าคนหนึ่ง เลยรู้ว่าคนใช้จริงอยากได้ของแบบไหน ของบางชิ้นอาจมี สตอรี่ในการดีไซน์เลิศหรูแต่ดูแล้วไม่เก็ต เข้าไม่ถึง หรือบางชิ้นสวยแต่ดูแลยากก็คงไม่เหมาะ เราเลยเน้นของที่ฟังก์ชั่น สะดวกในการใช้งานจริง เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเรา และดูแลรักษาง่าย แต่ยังคงบาลานซ์ระหว่างความเป็นชิ้นงานดีไซน์ที่หรูหราอยู่ เพราะบางชิ้นที่มีสตอรี่ที่ดีและยาวนานอีกทั้งยังมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ดีก็ยังคงได้รับความสนใจและยังคงเหมาะสมกับการใช้งานอยู่จนถึงปัจจุบัน”
งานอดิเรกที่เจ้าตัวภูมิใจ
หลังจากนั่งสนทนากันบนโซฟาชุดใหญ่สไตล์โมเดิร์นสุดมินิมอลตัวนี้ได้สัมผัสด้วยตัวเองว่าเฟอร์นิเจอร์ที่เขาเลือกมาคุณสมบัติการใช้งานต้องมาก่อนนั้นเป็นสิ่งที่ใช้ได้จริงเพราะจากรูปลักษณ์ที่เรียบโก้แต่ซ่อนความเก๋ด้วยหมอนอิงที่แยกชิ้นส่วนและจับวางเปลี่ยนตำแหน่งได้ เพราะมีน้ำหนักในตัวเอง ทำให้โซฟาตัวยาวสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ตามความต้องการของคนนั่งว่าอยากหันหน้าทางไหน เอนพิงไปทางใด เป็นโซฟาที่ปรับตามอารมณ์และใจคนนั่งอย่างแท้จริง

เมื่อเห็นเราเริ่มสนุกกับสิ่งที่เขาจัดวางในโซนโอเพนสเปซนี้คุณโอ๊คก็พาเราไปชมของตกแต่งต่างๆที่วางอยู่เพื่อลดทอนความเป็นทางการของโต๊ะรับประทานอาหารไม่ว่าจะตุ๊กตาหมีแบร์บริกโคมไฟโป๊ะกลมสุดเดิร์นสีน้ำเงินนกกระยางเหล็กรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นแต่ออกแบบมาดีไม่มีล้มตามแรงลมเป็นความเซอร์ไพรส์ที่คุณโอ๊คอยากให้ผู้มาเยือนรู้สึกรีแลกซ์ขณะที่กำลังสนุกกับข้าวของที่มีความขี้เล่นสอดแทรกอยู่ก็ต้องประทับใจกับเซ็ตแจกันบลูแอนด์ไวต์จากเนเธอร์แลนด์ที่เก๋ไก๋เป็นที่สุดสมกับเป็นชิ้นโปรดของคุณโอ๊คที่พื้นยังมีพรมสีสันและลวดลายสดใสที่เขาหิ้วมาจากอิหร่านวางเติมความสดชื่นแล้วยังมีเก้าอี้จีนโบราณที่ตรงที่นั่งเป็นเชือกกระสอบขึงไปมาคอนโซลวางโคมไฟที่จริงๆเป็นโต๊ะโบราณสำหรับวาดภาพเพราะตรงกลางเป็นที่ฝนหมึกรวมถึงภาพบนผนังที่ใช้เทคนิคการสาดสีทองอย่างมีศิลปะซึ่งเป็นฝีมือของนักเรียนไทยที่คุณโอ๊คเห็นแล้วรู้ทันทีว่าเหมาะกับผนังในห้องนี้แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

“ถึงเป็นบ้านพักตากอากาศแต่เป็นสถานที่ที่ครอบครัวเรามาบ่อยโดยเฉพาะคุณแม่กับคุณยาย
ที่พาเพื่อนฝูงมาพักผ่อนกันเสมอๆ โอ๊คโตมาในครอบครัวใหญ่ เลยค่อนข้างติดกับการอยู่กับคนเยอะๆ มากกว่าอยู่คนเดียว ถึงแม้โอ๊คจะทำธุรกิจเป็นเจ้านายมีลูกน้องกว่า 60 คน แต่สำหรับที่บ้านเราก็ยังเป็นลูกที่ยังเด็กเสมอสำหรับพ่อแม่ ทุกวันนี้คุณพ่อยังโทร.มาถามว่าจะกลับมากินข้าวเย็นไหม ทุกเย็นวันเสาร์เราไปกินข้าวกันที่บ้านคุณยาย ส่วนซันเดย์บรันช์เป็นมื้อครอบครัวที่ทุกคนมาพร้อมหน้ากัน

โอ๊คยังไปเที่ยวกับคุณแม่ในประเทศลุยๆ ที่คุณพ่อขอบาย แต่ถ้าทริปไหนไปชิลล์ๆ ตระเวนกินของอร่อยและมีโปรแกรมช็อปปิ้งละก็ คุณพ่อไม่เคยพลาดร่วมทริป ด้วยเสมอ ถึงคุณพ่อจะอายุ 71 ปีแล้วแต่ยังรักการแต่งตัวอยู่เสมอ บางทีเห็นโอ๊คใส่รองเท้าผ้าใบสวยถูกใจก็จะบอกให้สั่งให้ท่านด้วย ความที่ท่านเคยรับราชการทหารและปัจจุบันเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ โอ๊คเลยไม่ค่อยได้ปรึกษาในเรื่องธุรกิจกับคุณพ่อมากนัก จะคุยกับคุณแม่มากกว่า เพราะคุณแม่ทำพร็อพเพอร์ตี้ของตัวเองและเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุน ซึ่งเป็นสายงานที่เราแชร์ไอเดียกันได้ ส่วนน้องชาย (คุณณฐพงศ์ วรรณรัตน์) รับราชการ เขาเลยจะคุยเรื่องงานกับพ่อได้

ด้านข้างเป็นลิฟต์ที่สร้างไว้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคุณยาย ด้านหลังคุณโอ๊คที่ผนังประดับผลงานของศิลปินไทย
“ทุกวันนี้มีความสุขดีกับทุกสิ่งรอบตัวโดยเฉพาะกับธุรกิจภูมิใจที่ MOTIF มาไกลได้ขนาดนี้และตัวเองก็ยังสนุกกับการทำงานโอ๊คยังเลือกของเองทุกชิ้นยังเรียนรู้จากลูกค้าและเก็บทุกสิ่งเป็นประสบการณ์ชีวิตและนี่คือชีวิตที่ลงตัวแล้วสำหรับโอ๊ค”
นิตยสาร HELLO! ปีที่ 14 ฉบับที่ 02 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2562
หรือดาว์นโหลดฉบับดิจิตอลได้ที่ www.ookbee.com , www.shop.burdathailand.com