ความรักและผูกพันอันยิ่งใหญ่ระหว่างคุณแม่วิสาขา หงสนันทน์ และลูกชาย เป๋า-วฤธ หงสนันทน์
หากจะเปรียบความรักความผูกพัน ระหว่างแม่กับลูกเป็นเสมือนพื้นที่สักแห่งแล้วล่ะก็ พื้นที่แห่งนั้นย่อมเป็นดั่งอาณาเขตที่กว้างใหญ่ และเปี่ยมไปด้วยความทรงจำอันแสนประทับใจ เฉกเช่นอาณาจักรความรักระหว่างครอบครัว คุณแม่อ่าง-วิสาขา หงสนันทน์ และลูกชาย คุณเป๋า-วฤธ หงสนันทน์ ที่ซึ่งไร้เขตแดนขวางกั้น หากแต่กว้างใหญ่ไพศาล และเปี่ยมด้วยความหมายของคำว่า ‘ครอบครัว’
“ผมค่อนข้างจะสนิทกับคุณแม่ครับ อย่างตอนเด็กๆ เวลาคุณแม่ไปไหนผมก็จะตามไปด้วยเสมอ แต่อย่างตอนนี้ ผมโตเป็นผู้ใหญ่และมีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ก็ยอมรับว่าอาจจะมีเวลาอยู่กับคุณแม่น้อยลง แต่เราก็ยังพูดคุยกันอยู่ตลอดครับ หรือถ้าช่วงไหนที่ผมมีเวลาว่างจากงาน ผมก็จะนัดเจอคุณแม่ พาคุณแม่ไปกินข้าว นอกบ้าน พาไปช้อปปิ้ง หรือพาคุณแม่ไปทำธุระต่างๆ เรียกว่าก็พยายามที่จะดูแลคุณแม่ให้ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ครับ” คุณเป๋าเริ่มต้นเล่าถึงความผูกพันระหว่างสองแม่ลูก ก่อนที่คุณแม่วิสาขาจะเอ่ยสมทบในมุมมองของคนเป็นแม่

“แม่มีลูกชายสองคน (ปาล์ม-ฐณส หงสนันทน์-พี่ชาย และเป๋า-วฤธ หงสนันทน์-น้องชาย) สมัยตอนที่เขาทั้งคู่ ยังเป็นเด็กๆ แม่จะใกล้ชิดกับทั้งสองคนมาก ไปไหนด้วยกัน นอนคุยกัน สอนการบ้าน อบรมสั่งสอนกัน แล้วเวลาที่เราเห็น เขาสองคนพี่น้องเล่นด้วยกันแล้วไม่ทะเลาะกัน เราก็แอบเบาใจนะคะ เพราะเราก็จะคอยสอนเขาทั้งคู่ว่าเป็นพี่น้องกัน ต้องรักและดูแลกันตลอดไปนะ เพราะเราคือคนในครอบครัวเดียวกัน ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าชีวิตจะเจอความสุข หรือความทุกข์อย่างไร แต่ความรักและความผูกพันระหว่างคนในครอบครัวก็จะเป็นเหมือนเกราะป้องกัน ที่คอยนำทางชีวิตที่ดีให้กับเราตลอดไปค่ะ”
และแม้จะเป็นคุณแม่ แต่คุณวิสาขาก็มีความคิดเห็นถึงนิยามความหมายของคำว่า ‘ครอบครัว’ ได้อย่างร่วมสมัย เข้าถึงใจคนรุ่นใหม่ “สำหรับแม่ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบไม่ได้หมายถึงการที่เราจะต้องมาอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เพราะทุกคนต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง มีอิสระในการใช้ชีวิตของตัวเอง แต่เราจะมีจุดเชื่อมโยงชีวิตของกันและกันอยู่ เวลาที่ใครสักคนในบ้านมีปัญหา เราคือคนที่จะรับรู้และอยู่ข้างๆ กัน คอยช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้กัน และเมื่อมีเวลาว่างหรือมีช่วงเวลาเทศกาลพิเศษ เราก็จะนัดเจอกัน หากิจกรรมทำร่วมกัน พูดคุยอัพเดตชีวิตกันและกัน คือเรามีอิสระต่อกัน แต่ในขณะเดียวกันเราก็อุ่นใจที่รู้ว่า มีคนในครอบครัวที่ยังรักและคอยเป็นห่วงเราค่ะ”

ส่วนคุณเป๋าบอกว่าความสุขของสมาชิกในครอบครัว คือสิ่งแรกที่เขาเอาใจใส่เป็นพิเศษ “ทำอะไรก็ได้ให้ทุกคนมีความสุขครับ ผมมองว่าการมีครอบครัวใหญ่มันมีข้อดีตรงที่มีผู้หลักผู้ใหญ่ให้เราปรึกษาหารือ ได้เยอะ และโดยส่วนตัวครอบครัวมองได้สองแบบ แบบแรกคือครอบครัวที่ประกอบไปด้วยพ่อแม่ญาติพี่น้อง ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งผมถือว่าการมีเพื่อนก็เป็นอีกหนึ่งครอบครัวของผมเหมือนกัน”

มุมมองของทั้งคุณแม่และคุณลูก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ หากแต่ต่างก็มีอิสระและให้พื้นที่ส่วนตัวแก่กันและกัน ซึ่งสอดคล้องกับแนวความคิดของโครงการ ‘เดอะ พาลาซโซ ศรีนครินทร์ (The Palazzo Srinakarin)’ ล้วนตอบทุกโจทย์ของความเป็นครอบครัวในแบบไทยๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และกลมกลืนกับวิถีชีวิตของครอบครัวรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป ภายใต้แนวคิดของการใช้ชีวิตครอบครัวใหญ่ ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพเหนือระดับ โดยเน้นการดีไซน์และออกแบบที่สามารถตอบสนองความต้องการของสมาชิกทุก เจเนอเรชั่นในครอบครัวได้อย่างตรงจุด งานออกแบบตกแต่งภายในถูกนำเสนอในรูปแบบ American Neoclassical Style ที่มีลักษณะของการผสมผสานสถาปัตยกรรม Classic และ Modern เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ซึ่งให้ทั้งความรู้สึกหรูหราและความเรียบง่ายที่สามารถใช้งานได้จริง
“แม่ชอบตรงที่ขนาดของแต่ละห้องกำลังพอดี ไม่ใหญ่เวอร์จนชวนเหงา หรือคับแคบจนอึดอัด แต่มีพื้นที่ที่เอื้อต่อ ประโยชน์ใช้สอยของครอบครัวยุคใหม่ได้ลงตัว และในฐานะของผู้ใหญ่แม่เห็นว่ามีห้องนอนอยู่ชั้นล่างด้วย อันนี้แม่ว่าดีมาก เหมาะกับเป็นห้องนอนของผู้ใหญ่ จะได้ไม่ต้องเดินขึ้นลงบันได อีกอย่างที่แม่ชอบคือ พื้นที่โดยรอบ มีความร่มรื่น เหมาะกับที่ผู้ใหญ่สามารถออกมาเดินเล่นได้สบายๆ” คุณแม่วิสาขาบอกเล่าความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อ โครงการเดอะ พาลาซโซ ศรีนครินทร์ ได้อย่างตรงใจของคนรุ่นอาวุโส
ส่วนฟากฝั่งของลูกชายอย่างคุณเป๋า บอกเล่าถึงแง่มุมที่สอดประสานความรู้ในเรื่องของงานออกแบบตกแต่ง ที่เขาได้ร่ำเรียนมาเข้าไปด้วย “ถ้าจะเลือกบ้านสักหลัง สิ่งสำคัญคือความเรียบง่าย ฟังก์ชั่นดี ผมก็เลยจะเลือกจากดีไซน์ และฟังก์ชั่นเป็นหลักครับ ซึ่งที่เดอะ พาลาซโซ ศรีนครินทร์ ตอบโจทย์ทุกข้อของผมในเรื่องพวกนี้ครบหมดเลย เพราะดูหรูหรา สวยงาม สถานที่ดูกว้างใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกอยู่สบาย เป็นกันเอง และอบอุ่น เรียกว่าเป็นบ้านที่อยู่เหนือกาลเวลาได้เลยครับ
อีกอย่างที่สำคัญมากเลยคือเรื่องโลเกชั่น ที่นี่เดินทางง่ายมาก ขับรถไปขึ้นทางด่วนแป๊ปเดียว ใกล้ที่ทำงานผม ซึ่งอยู่ซอยอ่อนนุช และแถวนี้ก็มีบ้านเพื่อนผมอยู่หลายหลังด้วย ก็นัดเจอเพื่อนฝูงได้ใกล้ๆ จะเข้าเมืองก็แค่ขับออกทาง อ่อนนุชหรือไม่ก็อุดมสุข ก็เป็นเส้นสุขุมวิทแล้วครับ

ผมว่าเป็นบ้านที่อยู่แบบครอบครัวใหญ่อย่างน้อย 6 คนอยู่ได้สบายๆ โดยที่ทุกคนก็มีพื้นที่ส่วนตัว แบบไม่อึดอัดด้วย และด้วยความที่เป็นบ้านที่เหมือนไม่มีรั้วกั้นชัดเจน ทำให้เราได้ใกล้ชิดกับเพื่อนบ้าน เหมือนอาณาเขตความเป็นครอบครัวของเราขยายกว้างขึ้น เหมือนเพื่อนบ้านก็เป็นอีกหนึ่งครอบครัวของเราเช่นกันครับ”