The Young Achievers : จุดเริ่มต้นของความสำเร็จของ ‘คุณอ้อ-ปิยจิต รักอริยะพงศ์’ นายหญิงแห่งอณาจักร เซ็ปเป้ บิวติ ดริงค์
จากจุดเริ่มต้นของเครื่องดื่มตัวแรกซึ่งขายดีติดอันดับ อย่างน้ำผลไม้ผสมวุ้นมะพร้าว โมกุ โมกุ เมื่อ 18 ปีก่อน จวบจนถึงมิติใหม่แห่งเครื่องดื่มภายใต้ชื่อ เซ็ปเป้ บิวติ ดริงค์ ก่อนจะแตกยอดออกเป็นผลิตภัณฑ์สายสุขภาพและความงามอีกนับไม่ถ้วนในปัจจุบัน แบรนด์เซ็ปเป้ใช่เพียงแต่เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดเครื่องดื่มเจ้าสำคัญของประเทศที่ล่าสุดมียอดขายทั้งใน และต่างประเทศมากกว่า 2,800 ล้านบาทเท่านั้น ผลงานการบริหารของสาวเก่ง ‘คุณอ้อ-ปิยจิต รักอริยะพงศ์’ ทายาทสาวคนเดียวของตระกูล
การได้รับมอบหมายให้เข้ามารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารเมื่อ 4 ปีก่อนเป็นภาระอันหนักอึ้ง ที่แม้จะมีประสบการณ์การทำงานอย่างเข้มข้นจากสายการเงินระดับโลกมากว่า 17 ปี แต่งานนี้ยังต้องกุมขมับ เธอต้องอาศัยทั้งเวลาและสกิลเฉพาะตัวจนเปลี่ยนการเป็นซีอีโอให้กลายเป็นเรื่องน่าสนุกไปได้

ไม่อายทำกิน
“สมัยก่อนคุณพ่อเริ่มต้นกิจการของตัวเองจากธุรกิจโชห่วย แล้วพอมาแต่งงานกับคุณแม่ก็เริ่มมาทำพวกขนมขบเคี้ยว พวกคุกกี้และขนมไทย เช่น ถั่วกรอบแก้ว ครองแครงกรอบ ขายตามสถานีรถไฟและสถานีขนส่ง ช่วงที่พวกเราเด็กๆ ธุรกิจของท่านก็ทำได้ค่อนข้างประสบความสำเร็จมากพอสมควร เพราะสินค้าวางขายไปทั่วประเทศไทย ขนาดว่าขึ้นไปดอยสุเทพก็ยังเจอถุงขนมของแบรนด์ ‘ปิยจิต’ วางขาย เรียกได้ว่าสินค้าที่คุณพ่อคุณแม่ทำนั้น ออกโปรดักต์อะไรมาก็ขายดีหมดเพราะว่าเราทำอร่อย” คุณอ้อเล่า อาจกล่าวได้ว่าเธอมีแบรนด์เป็นของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก และยังหัดค้าขายจากแบรนด์ของตัวเองอีกด้วย
“คุณพ่อคุณแม่ปลูกฝังลูกๆ ในเรื่องของการค้าขายมาตั้งแต่เด็ก ท่านพยายามให้เราขายของ ทำให้เราเองก็มีความรู้สึกว่า การขายเป็นเรื่องที่สนุก และยังได้เงินด้วย สมัยนั้นอ้อกับพี่ชายก็เอาขนม เอาอะไรไปขายที่โรงเรียนเสมอ ท่านจะสอนให้เราคิดเหมือนเป็นแม่ค้าคนหนึ่งเลย คือให้เราซื้อของในราคาทุนแล้วก็ไปขาย เท่ากับว่าเราก็จะได้กำไรในส่วนต่าง พออ้ออายุได้สัก 10 ขวบ เรียนอยู่ ป.4 ท่านก็จะชอบพาเรากับพี่ชายไปออกตลาด เริ่มจากให้ติดรถส่งของไปขายของตามยี่ปั๊วต่างๆ ให้เราหัดคิดแผนการเดินทาง เช่น ออกรถวันนี้จะไปที่ไหนก่อน พอไปถึงก็ให้ไปคุยกับอาเฮีย อาเจ้ เราจะได้หัดวางแผนและขายของเป็น อีกส่วนหนึ่งยังช่วยปลูกฝังเรื่องการคิด การวางแผนไปด้วยในตัวว่าหากสิ่งที่วางไว้ไม่ได้เป็นไปตามนั้น เราจะปรับแผนหรือเป้าหมายอย่างไร”
ความสนุกในวัยเด็กดำเนินต่อมาได้อีกพักใหญ่ คุณแม่ก็ให้หยุดไปเพราะถึงเวลาที่ต้องทุ่มเทกับการเรียนมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังปลูกฝังเรื่องความขยัน และหลักของคนทำมาค้าขายคือการทำสินค้าที่ดีและมีคุณภาพ “อ้อเชื่อในเรื่องของความพยายาม และการทุ่มเท ตั้งแต่เกิดเราจะเห็นคุณพ่อคุณแม่ตื่นตั้งแต่ตี 4 มาเตรียมของ จากนั้นก็ขับรถออกไปขายของตามตลาดมหานาค ยิ่งถ้าช่วงขายดีพวกท่านก็แทบจะทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้เรารู้ว่าด้วยความทุ่มเท ความสำเร็จจะตามมาไม่ยาก แต่ในขณะเดียวกันสินค้าก็ต้องตอบโจทย์ด้วย คุณแม่จะพูดเสมอว่า เวลาท่านจะทำสินค้า หรือทำขนมอะไรออกมา ท่านอยากให้คนกิน กินสินค้าที่มีคุณภาพ และต้องทำจากวัตถุดิบที่ดี สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ปลูกฝังมาโดยตลอด”
เลือกเติบโตด้วยเส้นทางของตนเอง
แม้จะปลูกฝังเรื่องการค้าขาย แต่คุณพ่อคุณแม่กลับไม่เคยบังคับให้ลูกต้องกลับมาช่วยงานที่บ้าน เส้นทางสายอาชีพของคุณอ้อจึงมุ่งตรงสู่สายการเงินมาโดยตลอดนับตั้งแต่เรียนจบ “ตอนเด็กๆ คิดอย่างเดียวคืออยากทำงานเยอะๆ หาเงินเร็วๆ ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาทำงานที่บ้าน พอเรียนจบเลยทำงานธนาคารสาย Investment Banking มาตลอด” คุณอ้อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีเกียรตินิยม ด้าน Business Study สาขา Marketing Finance จาก University of Sheffield ประเทศอังกฤษ หลังจากนั้นจึงเติบโตในหน้าที่การงานในธนาคารต่างประเทศทั้งหมด เริ่มจาก Deutsche Bank, Barclays PLC และต่อเนื่องมายัง BNP Paribas
17 ปีในสายการเงินคือช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ จวบจนสุดท้ายเมื่อที่บ้านตัดสินใจจะนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์และต้องการคนช่วยวางระบบเพื่อเตรียมความพร้อม เธอจึงเลือกกลับมาช่วยงานของครอบครัวในตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ซึ่งวินาทีนั้นเรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนโลกการทำงานทั้งใบเลยทีเดียว
ยากกว่าธนาคารก็ธุรกิจครอบครัวนี่ละ
“ตอนกลับมาทำงานที่บ้าน เรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นกบออกนอกกะลาอย่างไรอย่างนั้น”
คุณอ้อสารภาพ “สมัยก่อนเราทำงานแบงก์ อีโก้เราก็เยอะ เรามีความรู้สึกว่างานสายแบงก์เป็นงานที่ยากและมีความเครียดตลอดเวลา โดยเฉพาะเวลาที่ทำงานเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน หรือค่าเงิน ที่มีความสวิงเสมอ บวกกับแรงกดดันที่เยอะ มีเป้าให้ต้องทำตลอด เราก็คิดว่าเราเจ๋งมากแล้ว แต่พอเราเข้ามาสาย Consumer Product มันคนละเรื่องกับที่เคยทำมาเลย รู้สึกว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ่ (หัวเราะ) และยังมีอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้เรื่องเลย และกลายเป็นว่าสิ่งที่เราคิดว่าเราทำงานยากมากแล้ว อันนี้มันยากกว่าอีกนะ
“สิ่งที่ท้าทายอย่างแรกเลยคือ environment เราเคยมาจากบริษัทที่ทุกอย่างมีระบบพร้อม แต่นี่เราต้องสร้างระบบเอง อาจไม่ถึงกับต้องเริ่ม แต่ต้องต่อยอดเพื่อเตรียมพร้อม ส่วนหน้าที่ความรับผิดชอบ แม้จะมานั่งเป็นซีเอฟโอ แต่ด้วยความที่เป็นธุรกิจครอบครัวเราจะดูแต่ฝั่งไฟแนนซ์อย่างเดียวก็คงไม่ได้ ต้องมองให้รอบด้าน” อีกเรื่องสำคัญของสิ่งแวดล้อมใหม่คือทีมงานในองค์กรที่ล้วนแต่เป็นคนรุ่นใหม่ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง และมีวิธีคิดที่ต่างออกไป
“เรื่องคนเป็นความสนุกสนานอีกแบบหนึ่งที่เราต้องรับมือ ด้วยเจเนอเรชั่นที่แตกต่างและสายงานที่มีวิธีคิดคนละแบบทำให้เราต้องปรับตัวเยอะในการทำงานร่วมกัน และพยายามทำความเข้าใจเขา ช่วงแรกเขาอาจตั้งคำถามเยอะ แต่ครั้นพอเขาเข้าใจ เขาวิ่งเต็มที่มาก แรงเขาเยอะกว่าเรามากมาย และอ้อคิดว่านี่เป็นจุดแข็งอันหนึ่งของเซ็ปเป้”
ภารกิจหินของซีอีโอ
คุณอ้อใช้เวลากว่า 2 ปีในการปรับตัว พร้อมส่งบริษัทเข้าสู่ความเป็นมหาชนอย่างเต็มตัวได้ตามเป้าหมาย ก็ถึงคราวรับศึกหนักอีกครั้งเมื่อคุณก้อง พี่ชาย มอบหมายให้เข้ามารับช่วงเป็นซีอีโอแทนตัวเขาที่ขึ้นไปคุมในตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร “ต้องบอกว่าคุณก้องเขาทำไว้อย่างดีมากนะคะ เพราะเซ็ปเป้เติบโตมาได้ส่วนหนึ่งก็มาจากเขา ทั้งรากฐานในเรื่องของโปรดักต์และมาร์เก็ตติ้งต่างๆ เพราะฉะนั้น Benchmark จึงสูงมากสำหรับเรา ช่วงแรกจึงเป็นอะไรที่กดดันมาก แต่อ้อไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำไม่ได้นะ เราคิดว่าจะทำยังไงต่อ เพื่อที่จะไม่ให้เขาผิดหวัง เพราะเขาอุตส่าห์ส่งลูกรักเขามาให้เราดูแล”
บทพิสูจน์แรกของซีอีโอเดินทางมาถึงหลังจากที่เธอรับตำแหน่งได้ไม่นาน เริ่มจากการเลิกสัญญาผู้จัดจำหน่ายเจ้าใหญ่เจ้าหนึ่งของประเทศจีนที่ทำให้ยอดขายหายไปอย่างมหาศาล “ปัญหาคือช่วงนั้นเราถูกก็อปปี้สินค้า และต่อมาเมื่อเลิกสัญญากับผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ เราก็รู้อยู่แล้วว่าจำเป็นต้องกู้ยอดขายที่หายไปคืนมาให้ได้ ทางหนึ่งคือต้องหาผู้จัดจำหน่ายเจ้าใหม่ และพยายามทำหลายอย่างรวมถึงขนาดใส่ธงไทยเข้าไปบนแพ็กเกจ แต่สุดท้ายพอเราพยายามมาจุดหนึ่ง เราก็รู้ว่ายอดขายในตลาดนี้อาจจะไม่เหมือนเดิมแล้ว เราไม่ได้ลดความพยายาม เพียงแต่ต้องหาประเทศอื่นเข้ามาเพื่อที่จะเสริมยอดขาย ซึ่งในที่สุดเราก็แก้เกมออกมาได้ ตลาดประเทศจีนเรายังอยู่ แต่เรามีตลาดของประเทศอื่นๆ อีกมากที่มาเพิ่ม” คุณอ้อใช้เวลากว่า 1 ปีในการแก้เกม ในขณะเดียวกันก็ยังต้องเดินหน้าในส่วนของงานบริหารเพื่อพาบริษัทไปให้ถึงจุดหมาย การวางแผนและเรียนรู้เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยทิ้ง เริ่มแรกหลังจากที่ลองพยายามนำโมเดลธุรกิจของบริษัทใหญ่ๆมาใช้ แต่กลับเรียนรู้ว่านั่นไม่ใช่ตัวตนขององค์กร เธอไม่ดึงดันไปต่อ แต่ใช้วิธีปรับเอาจุดแข็งซึ่งถือเป็นดีเอ็นเอขององค์กรเรื่อง Passionate Twist มาผสาน ที่ทุกคนทำงานด้วยใจรัก แต่ทวิสต์ด้วยความคิดและไอเดียแปลกๆ เพื่อเติม Value Added ให้ลูกค้า และเติมนวัตกรรมต่างๆ เข้าไปเสริม ผลลัพธ์ที่ได้โชว์ผลงานเป็นตัวเลขสวยของยอดขายที่ยังพุ่งไม่หยุด
“อ้อเชื่อในเรื่องของทีมงาน ในฐานะซีอีโอเราไม่สามารถที่จะทำงานคนเดียวได้ พูดตามตรงว่าส่วนหนึ่งที่บริษัทสามารถไปดีได้ ส่วนสำคัญเพราะเราโชคดีที่มีทีมงานที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับเรามาก”
ความสนุกที่มาพร้อมความเข้าใจของซีอีโอ
กว่า 4 ปีที่เข้ามารับหน้าที่ซีอีโอเต็มตัว สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปในตารางชีวิตคือการเดินทางที่เพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเดือนครั้ง รวมทั้งประสบการณ์ที่ต้องลงพื้นที่เพื่อไปพบปะคู่ค้าและลูกค้าในต่างประเทศ นอกจากนี้ปัจจุบันลูกชายทั้งสองคนของคุณอ้อกำลังเรียนต่อที่ต่างประเทศ การเดินทางบางครั้งจึงมีโอกาสได้แวะไปหาลูกๆ เพื่อคลายความคิดถึงอีกด้วย
“สมัยก่อนเวลามีวันหยุดเราก็มักจะเลือกไปประเทศที่คนทั่วไปเลือกไปเที่ยวกัน แต่พอได้มาทำงานตรงนี้ก็ทำให้เรามีโอกาสได้เดินทางไปประเทศที่ exotic มากขึ้น พอทำงานเสร็จบางทริปก็ถือโอกาสเที่ยวไปด้วยในตัว อย่างเช่น เม็กซิโก หรือที่เคยไปอิสราเอลครั้งก่อน อ้อก็ได้ข้ามไปเที่ยวจอร์แดน ด้วยความที่พาร์ตเนอร์ธุรกิจเขาค่อนข้างลุยๆ เขาก็พาทีมงานขับรถเข้าไปในทะเลทราย ไปกางเต็นท์นอนที่นั่น ก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยทำมาก่อน”
คุณอ้อกล่าวว่า สำหรับเธอแล้วการทำงานทุกอย่างมีความสนุกพ่วงอยู่ ไม่เว้นแม้แต่การเป็นซีอีโอ “เป็นความสนุกที่เกิดจากประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน มีปัญหาใหม่ๆ ที่เข้ามาให้แก้เสมอ ถ้าวันนี้อ้อยังอยู่ในสายธนาคาร ก็อาจจะเจอแต่ปัญหาเดิมๆ ที่เคยแก้ แต่พอมาอยู่ในสาย Consumer Product เราได้เจอปัญหามากมาย ทั้งคู่ค้า ทั้งโปรดักต์ ไหนจะเรื่องการสื่อสารกับลูกค้า เรียกว่าเป็นงานที่มีหลายมิติมาก แต่อ้อมองว่ามันเป็นอะไรที่สนุก น่าตื่นเต้น โดยเฉพาะเรื่องคน เมื่อก่อนเราอาจมีลูกน้องแค่ในแผนกเรา แต่ตอนนี้เรามีคนต้องดูแล 900 คน ไม่รวมลูกค้าและคู่ค้าอีก ทำให้เราได้เรียนรู้ตลอดเวลาว่าเราจะรับมือและจัดการกับปัญหา รวมถึงการเข้าใจคนที่เราต้องทำงานด้วยว่าเราจะเข้าถึงคนแต่ละกลุ่มได้อย่างไร”
จากมุมมองการใช้ชีวิต สู่มุมมองการทำงาน Always A Passionate Twist To Life
และไม่ว่าจะงานหนักแค่ไหนหรือเครียดอย่างไร สุดท้ายเธอก็ยังมีครอบครัวและทีมงานเซ็ปเป้ที่คอยให้กำลังใจเสมอ “เวลาที่เราเครียด ทีมงานและครอบครัวจะเป็นกำลังใจสำคัญในทุกๆ อย่างของชีวิต เราจะคอยเตือนตัวเองให้ twist มุมมองใหม่ๆ จากสิ่งที่เจอเสมอ เพราะเราเชื่อว่า ทุกอย่างที่เราทำ เราทำด้วย passion ถ้าเราแค่ twist มุมมองเราให้เป็นมุมบวก เราก็จะเห็นทางออกที่เราอาจจะนึกไม่ถึงเสมอ”
ติดตามได้ในนิตยสาร HELLO! ปีที่ 14 ฉบับที่ 13 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562
หรือดาว์นโหลดฉบับดิจิตอลได้ที่ www.ookbee.com , www.shop.burdathailand.com