Home > Celebrity > Exclusive Interviews > เปิดใจหนุ่มพันล้าน ผู้เข้าตลาดหุ้นด้วยวัยไม่ถึง 30 “ณัฐนัย อนันตรัมพร”

มีวันนี้เพราะพ่อไม่ให้’ อาจเป็นประโยคที่สรุป ความสำเร็จระดับพันล้านของผู้บริหารอายุน้อยที่สุดที่นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ตั้งแต่อายุแค่ 29 ปี ‘คุณเก็ท-ณัฐนัย อนันตรัมพร’ คนหนุ่มไฟแรงในแวดวงธุรกิจเทเลคอมผู้ให้บริการวงจรสื่อสารความเร็วสูงทั่วประเทศไทย

ลูกชายคนเดียวในครอบครัวที่สร้างฐานะขึ้นมาจากการทำธุรกิจ เขาเกิดปีเดียวกับบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ซึ่งในเวลานั้นยังไม่ได้เป็นบริษัทมหาชน หากก็ถือว่าธุรกิจไปได้ดี ชนิดที่มีคนขับรถไปรับส่งลูกๆ ไปโรงเรียนได้ทุกวัน ยกเว้นลูกชายคนเดียวคนนี้ที่รถไปส่ง แต่ไม่รับกลับ

หนุ่มพันล้าน ผู้เข้าตลาดหุ้นด้วยวัยไม่ถึง 30

“พ่ออยากสร้างให้ผมเป็นนักธุรกิจ อยากให้ผมเข้มแข็งอดทนและไม่อยากให้เป็นคนจมไม่ลง ผมได้เงินไปโรงเรียนวันละ 35บาท ตอนเช้านั่งรถของที่บ้านไปเรียนที่สตรีวิทยา 2 พร้อมพี่สาว แต่ตอนเย็นผมเป็นคนเดียวที่ต้องนั่งรถเมล์แล้วต่อรถสองแถวเข้าบ้าน พอม.ปลายสอบเข้าเตรียมอุดมฯ ได้ เสียค่ารถไฟฟ้า 32 บาท ต่อรถปอ.อีก 10 บาท ซึ่งเงินที่ได้ไปโรงเรียนก็เท่าค่ารถเป๊ะ”

เสียงเขาขมขื่นไม่น้อยและบอกตรงๆ ว่าน้อยใจพ่อเสมอมา ความรู้สึกนี้ผสมกับความอยากเข้าสังคมใหม่ในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ทำให้ลูกชายที่เกรงพ่อมากชักเริ่มออกอาการเกเร “สังคมที่เตรียมฯ มีตั้งแต่คนที่มาจากต่ำสุดไปถึงสูงสุด เราอยู่ตรงกลางแต่อยากขยับไปชั้นบน ทำให้ผมเริ่มหาเงินใช้เอง” เซียนเกมแร็กนาร็อกอย่างคุณเก็ทจึงใช้ทักษะนี้หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ มีรายได้เหยียบแสนต่อเดือน”

ผู้บริหารอายุน้อยในลุคแบบสบายๆ

ความเฮี้ยวสมัยวัยรุ่นของเขามาถึงจุดหักเลี้ยวในวันที่ผลคะแนนสอบกลางภาคออกมา เขาถึงกับเสียน้ำตาลูกผู้ชายก็เพราะอาย “สมัยเรียนที่สตรีวิทยา 2 ผมถือว่าเรียนดี สอบได้ 1 ใน 9 อันดับของโรงเรียนที่มีนักเรียนเป็นพันคน ได้เกรด 3 กว่าตลอด แต่ตอนไปเรียนเตรียมฯ ตอนสอบเข้าเขารับ 760 คน ผมสอบได้ที่ 757 เกรดเหลือ 2.8 และพอสอบปลายภาคก็ตกอีก เป็นโมเมนต์กระชากใจที่สุด ร้องไห้เลยครับ”

คุณเก็ทออกตัวว่าไม่ใช่คนเรียนเก่ง แต่เด็กเรียนคาบเส้นคนนี้เอ็นท์ติดคณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอิสระของคุณเก็ทนั้นก็เริ่มมาในรูปของการเหินฟ้าไปเรียนต่อปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจที่บอสตันสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขาพบว่าการเดินตามเส้นที่บิดาขีดให้ครั้งนี้สร้างชีวิตให้เขาในปัจจุบัน

คุณเก็ท หลังจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจที่บอสตันสหรัฐอเมริกา

“ยังน้อยใจคุณพ่ออยู่ เพราะท่านให้เงินผมใช้เดือนละ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดนค่าห้องไป 1,500 เหลือใช้ทั้ง เดือนแค่ 500 ผมเลยโตมากับแม่ประนอมครับ คือกินไก่กับน้ำจิ้มแม่ประนอมแทบทุกวัน ไก่ 30 – 40ชิ้นอยู่ได้ประมาณ 1 สัปดาห์ แต่สังคมบอสตันมีค่าครองชีพสูง ผมเลยไปสมัครเป็นโปรเจกต์แมเนเจอร์ของมหาวิทยาลัย เขาสัมภาษณ์ผมว่าสกิลล์หลักในการทำตำแหน่งนี้คืออะไร ผมตอบว่าผมไม่รู้เรื่องงานด้านซอฟต์แวร์ แต่ผมสามารถหาคนเก่งในแต่ละด้านมาสร้างผลงานออกมาได้ตามเป้าหมายผมเลยได้งานครับ ค่าจ้าง 14,000 ดอลลาร์สหรัฐฯทำงาน 8 เดือน ผมต่อรองอีกว่าถ้าทำงานเสร็จภายใน 5 เดือน ผมขอเงินเพิ่มอีก 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้างานเสร็จเร็วขึ้น เงินค่าจ้างคนทำงานก็จะลดลง ผมและเพื่อนในทีมก็ได้เงินเพิ่ม win-winกันทุกฝ่าย”

คุณเก็ทกำเงินก้อนแรกที่หาได้ในสหรัฐอเมริกาไปซื้อหุ้นฟิวเจอร์สในตลาดดัชนีดาวโจนส์โดยไม่มีความรู้ใดๆ เรื่องการลงทุน

“คิดแค่ว่าซื้อหุ้นหนึ่งตัวถ้ามันขึ้นก็ได้เงินเยอะขึ้น”

ผลกลายเป็นว่าฟิวเจอร์สบวกขึ้นมา 300 จุด เงิน 50 ล้านบาทกองที่หน้าตักผู้ชายวัย 23 ในทันที ดังนั้นในวันที่คว้าปริญญาโทมากอดได้ เขาใช้เงินส่วนตัวออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งครอบครัวมาร่วมงานรับปริญญาที่อเมริกา ก่อนจะต่อรองกับคุณพ่อว่าจะขอหางานทำในอเมริกาให้ได้

“ผมหว่านใบสมัครงานไป 700 แห่งภายใน6 เดือน ยิ่งเราทำมาก โอกาสก็ยิ่งกลับมามากขึ้นเท่านั้น” จาก 700 ได้มา 1 ที่

“ผมต้องการให้ลูกค้าได้ในสิ่งที่เขาอยากได้จริงๆ ผมเอาตัวเองไปอยู่หน้างาน”- เก็ท-ณัฐนัย อนันตรัมพร

ชายหนุ่มวัยไม่ถึง 30 ที่หอบเงิน 30 ล้านกลับจากอเมริกามาพร้อมความฝันจะพาบริษัทเข้าตลาดหุ้นตอนที่อายุยังน้อย และเขาก็ทำได้สำเร็จเสียด้วยจนสร้างประวัติศาสตร์ในวัย 29 ปี แต่ก่อนอื่นทายาทของบริษัทซึ่งได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่ง General Manager ต้องทำภารกิจแรกที่ท่านประธานสั่งการให้สำเร็จให้จงได้

“คุณพ่อบอกให้ผมสร้างธุรกิจใหม่ ท่านพูดแค่นี้เลยครับ” แรกๆ เขามืดแปดด้าน พยายามโดดไปจับธุรกิจที่ ‘คิดว่า’ น่าจะดี แต่ผู้ใหญ่ที่หวังดีมาเตือนสติก่อนว่า “ทำอะไรที่ถนัดจะดีกว่า” ทำให้คุณเก็ทถอยกลับมาตั้งหลักใหม่และไตร่ตรองทรัพยากรที่มีอยู่ในมือ

“บริษัทของคุณพ่อขายสายส่งสัญญาณแต่บริษัทใหม่ของผมเป็นธุรกิจให้บริการเชื่อมต่อและเก็บข้อมูล เหมือนเป็นดาต้าเซ็นเตอร์”

นิตยสารฟอร์บส์เอเชียคัดเลือกให้กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ติด 200 บริษัทที่มีการเติบโต สูงสุดในเอเชีย และคุณเก็ทเองเป็นนักธุรกิจอายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัล Asia Best Employer Brand Awards 2015

ในช่วงบุกเบิกเรียกว่าคุณเก็ทต้องรับทั้งศึกในและศึกนอกไม่เว้นแต่ละวัน

“ข้อดีคือเราเป็นลูกเถ้าแก่ เดินเข้ามาปุ๊บ คนก็หมั่นไส้ครับ คุณพ่อส่งลูกน้องมาให้ผม 5 คน ขอข้อมูลไปก็ไม่ให้ บางทีก็ให้ข้อมูลผิดๆ กลับมาลูกค้ายกเลิกนัดแล้วแต่ลูกน้องไม่บอกผม ปล่อยให้ผมขับรถไปเก้อ 4 – 5 ครั้งก็มี” เขาหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเวลาผ่านไป “แต่มีครั้งหนึ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนให้ผมได้ใจลูกน้อง ครั้งนั้นทีมงานลากสายสัญญาณเข้าไปติดตั้งให้ลูกค้าในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งไม่ได้ ลูกน้องโทร.หาผมตอน 5 ทุ่ม ปรึกษาว่าจะทำยังไงดี ผมบึ่งรถไปที่ห้าง พอเจอรปภ.ก็คุกเข่าลงแล้วก้มลงกราบเขาต่อหน้าลูกน้องทุกคน บอกรปภ.ว่าผมสัญญากับลูกค้าไว้แล้ว ถ้าลากสายเข้าไม่ได้ ผมซวยแน่คุยไปคุยมา รปภ.ก็ให้เข้า วันรุ่งขึ้นสถานการณ์ในบริษัทระหว่างผมกับลูกน้องดีขึ้นทันตา ลูกน้องคงเล่าสู่กันฟังว่า นายก้มลงไปกราบรปภ.เลย นาทีนั้นผมรู้สึกแค่ว่า ถ้ามัวมาวัดอีโก้กันว่าเราเป็นนาย เขาเป็นลูกน้อง แล้วอีกคนเป็นแค่ยาม งานก็ไม่เสร็จ ลูกน้องเลยเห็นว่าผมไม่ใช่เจ้านายที่นั่งบนหอคอยแล้วชี้นิ้วสั่ง”

ศึกในใช้ใจวัดใจได้สำเร็จ ขณะที่ศึกนอกต้องเรียกว่าเป็นศึกมดชนช้าง

“ธุรกิจที่ผมสร้างใหม่ ในตลาดเดิมมีแต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ เราเลยเจอวิกฤติการณ์ขายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ด้วยความที่เป็นหน้าใหม่ในตลาด ประกอบกับผมอายุยังน้อย เดินไปคุยกับใครเขาก็ไม่รู้จักและไม่เชื่อถือว่าเราจะทำได้

“สิ่งที่ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในผู้ประกอบการหน้าใหม่อย่างผมคือ commitment ผมบอกลูกค้าว่าถ้าผิดพลาดหรือไม่เป็นอย่างที่พูด ไม่ต้องจ่ายเงิน ทำให้เรายิ่งต้องดูแลหลังบ้านให้ดี เพราะเอาชื่อเสียงไปค้ำประกันตอนแรกที่เข้าไปติดต่อทรูซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจใหญ่ ผมให้เขาทดลองใช้งานก่อน 3 เดือน ถ้าไม่ดีจริงอย่างผมว่าผมไม่ขอรับเงิน จากเดิมที่สายส่งสัญญาณของเขาขาดอาทิตย์ละหลายวัน เราแก้ปัญหาให้ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง โทร.หาผมตี 2 ตี 3 ผมรับสายหมดครับทำให้เขาเห็นว่าเรารับผิดชอบ

“ผมบอกลูกน้องเสมอว่าหลักในการทำธุรกิจคือความจริง อย่าโกหก เพราะปิดยังไงก็ไม่มิด ถ้าเสียก็บอกว่าเสีย รายงานเขาไปว่ากำลังซ่อมอยู่ ซ่อมถึงไหนแล้วและใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ ผมอยากโตอย่างยั่งยืนซึ่งต้องเริ่มจากการที่ลูกค้ารักในความจริงใจของเรา เมื่อเกิดสิ่งนี้แล้วเขาจะไม่มองหาผู้ค้ารายอื่นอีก”

“ถ้าเทียบกับคนวัยเดียวกัน ผมถือว่าตัวเองประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง วันนี้เราสำเร็จพันล้าน แต่มีคนที่สำเร็จหมื่นล้าน แสนล้าน ผมอยากไปถึงระดับนั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และผมอยากจะแน่ใจว่าเมื่อไปถึงจุดนั้นแล้ว ผมจะมีทั้งเงินและความสุข ผมเคยเห็นในเฟสบุ๊กลูกน้องว่าพาครอบครัวไปเที่ยวพม่าด้วยสายการบินโลว์คอสต์แต่ท่าทางเขาสนุกและมีความสุขมากกว่าผมที่นั่งบิสิเนสคลาสไปญี่ปุ่นซะอีก วันนี้เลยกลับมาบอกตัวเองว่าชีวิตอีกด้านของเราว่างเปล่ามาก เพราะเราบริหารความสุขไม่เป็น ตอนบวชผมยังเอาคอมพิวเตอร์ไปด้วย เรียกพนักงานไปประชุมที่วัดตอบอีเมล Dear โยม (หัวเราะ) เคยบิน 14 ชั่วโมงไปประชุมที่ฝรั่งเศสแล้วบินกลับทันที ผมเป็นคนทำทุกอย่างตามเป้าหมายแต่สุดท้ายมันตึงเกินไปและผมก็รู้ตัวแล้ว

“ความสำเร็จถัดไปของผมคือการหาบาลานซ์ให้เจอ ผมเชื่อว่างานอย่างเดียวไม่ทำให้คนสำเร็จแต่ต้องมีทั้งงาน ครอบครัวและชีวิตส่วนตัว สามอย่างในชีวิตนี้ต้องบาลานซ์กันจึงจะเรียกว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง”

ติดตามเรื่องราวของเส้นทางสู่ความสำเร็จที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ของ The Achievers ทั้ง 10 ท่าน ได้ใน  THE YOUNG ACHIEVERS  

Never miss an update

Subscribe to our newsletter to get the latest updates.

No Thanks
You’re all set

Thank you for your subscription.