Home > Celebrity > Exclusive Interviews > บทเรียนชีวิตของ ‘วรรณพร พรประภา’

ตั้งแต่เรียบจบมาคุณปุ้ยก็ได้ทำงานอาชีพที่ตัวเองชอบมาโดยตลอดคือเป็นภูมิสถาปนิก บริษัทพีแลนด์สเคป (P Landscape หรือ PLA) ที่เธอสร้างขึ้นมาเมื่อ 20 ปีก่อนปัจจุบันเติบโตเป็นสำนักงานออกแบบงานภูมิสถาปัตยกรรมที่มีนักออกแบบร่วมร้อยกว่าคนสร้างงานภูมิทัศน์ ด้วยฝีมือของคนไทยไปในระดับโลก เธอมีผลงานในหลายประเทศตั้งแต่อินเดีย จีน ฮ่องกง มัลดีฟส์ ประเทศในตะวันออกกลาง สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฟิจิ หรือแม้กระทั่งประเทศในยุโรปอย่างอังกฤษและเยอรมนี งานส่วนใหญ่ของเธอจะเป็นงานออกแบบร่วมสมัยที่ตอบรับกับบริบทในแต่ละสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรม

Garden of the Mind ผลงานสร้างชื่อชิ้นล่าสุดที่จัดแสดงในงาน International Garden Festival ณ กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี เป็นเกาะโมเสกทองในบ่อน้ำหิน สื่อถึงความเป็นไทยในแง่ความงามและจินตนาการ

ผลงานการจัดภูมิสถาปัตยกรรมของคุณปุ้ยที่ Phulay Bay , a Riz-Carlton จังหวัดภูเก็ต

แต่ในความสนุกเรื่องงานก็มีเรื่องของความทุกข์แฝงอยู่ด้วย คุณปุ้ยเดินทางและทำงานหนักต่อเนื่องกันจนมีผลต่อสุขภาพ

“ปุ้ยเดินทางทำงานต่อเนื่องมาตลอดเป็นเวลาสิบกว่าปี งานเป็นส่วนที่ไม่ค่อยจะแบ่งแยกออกจากชีวิตด้านอื่นนัก เดินทางทั้งในและต่างประเทศแทบจะเกือบทุกอาทิตย์ บางครั้งไม่อยากไปเลยนะคะเพราะเหนื่อยหรือไม่ค่อยสบายแต่ก็ฝืนไปทั้งประชุมหรือเดินขึ้นเขาลงห้วยตากแดดฝนอยู่อย่างนั้นค่ะ เลยทำให้เราใช้ชีวิตไม่ค่อยถูกสุขลักษณะนักทั้งเรื่องอาหารการนอนหลับพักผ่อนและออกกำลังกาย โดยทั่วไปปุ้ยก็เป็นคนไม่ค่อยแข็งแรงนัก ไม่สบายบ่อยค่ะ จนเมือประมาณ 3ปีก่อนปุ้ยป่วยแบบที่ต้องหยุดพักทำงานเพื่อรักษาตัวไปหลายเดือนเลยค่ะ”

“การเจ็บป่วยตอนนั้น ทำให้ปุ้ยเป็นทุกข์เศร้าใจทีเดียวเพราะไม่ได้ฝึกใจมาก่อนให้เข้าใจให้ยอมรับกับเรื่องที่เป็นธรรมชาติว่าการเจ็บป่วยแม้กระทั่งความตายเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถเกิดขึ้นกับทุกคน เพราะชีวิตเป็นสิ่งบอบบางไม่แน่นอนไม่ถาวร ตอนนั้นทั้งคุณแม่ปุ้ยกับพี่ปราโมทย์ต่างพูดเหมือนกันว่า ‘ถ้าแม่ (ถ้าพี่) เป็นแทนได้ จะป่วยแทนปุ้ย’ ปุ้ยซึ้งใจทราบว่าเป็นคำพูดที่มาจากความรักความสงสารที่เห็นสภาพจิตใจของเราที่อ่อนแอรับความจริงเรื่องการเจ็บป่วยไม่ค่อยได้ ซึ่งในความเป็นจริง คนเราป่วยแทนกันไม่ได้ เลยเข้าใจมากขึ้นกับประโยคที่ว่า ‘ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน’ ค่ะ เข้าใจมากขึ้นว่าความทุกข์ต่างๆนี่สามารถปรับลดทอนไปได้ด้วยการฝึกใจของเราเอง”

คุณปุ้ยหันมาออกกำลังกาย จากเดินเล่นในหมู่บ้าน และในสวนสาธารณะละแวกบ้าน จนวันหนึ่งก็ได้แรงบันดาลใจจากเพื่อนสนิทคนหนึ่ง “เพื่อนรักคนนี้สนิทกันตอนไปเรียนปริญญาโท เรามีความคล้ายกันคือเป็นคนไม่ออกกำลังกายทั้งคู่ ค่อนข้างอ่อนแอขึ้นกระไดนิดเดียวก็หอบกันแล้ว พอแต่งงานทำงานแล้วไม่ได้เจอกันบ่อย เขาเล่าให้ฟังว่าตอนนี้เขาวิ่ง 10 กมแทบจะวันเว้นวันค่ะ กลายเป็นคนที่แข็งแรงมาก ปุ้ยฟังแล้วประทับใจ อยากจะเปลี่ยนจากเดินมาวิ่งบ้าง ก็เลยลองวิ่งบ้าง วิ่งไปแค่ 1 นาที ก็ไม่ไหวแล้ว เหนื่อยหอบมาก ”

ใครจะเชื่อว่าจากคนที่วิ่งแค่นาทีเดียวก็เหนื่อยแทบขาดใจ จะสามารถวิ่ง 10 กิโลเมตรได้

“ปุ้ยค่อยๆ วิ่งเพิ่มวันละนิด วิ่งๆไปก็ได้ไกลขึ้นและเร็วขึ้นก็สนุกขึ้นจากเดิมที่ค่อนข้างทรมาน พอสนุกก็ชอบคุยให้คนโน้นคนนี้ฟังเรื่องวิ่ง จนมีลูกค้าผู้กรุณาแนะนำเทรนเนอร์ที่เป็นนักกีฬาไตรกีฬา (หัวเราะ)มาฝึกวิ่งที่ถูกวิธีให้ค่ะ วันหนึ่งลูกสาวมาบอกว่าไปสมัครวิ่งกรุงเทพมาราธอน 4 กม.กับครูและเพื่อน แต่ขี้เกียจไปแล้วจะขอให้ปุ้ยไปวิ่งแทน(ยิ้ม) ปุ้ยก็ไปแบบไม่ค่อยรู้เรื่องไม่เคยร่วมงานวิ่งมาก่อนหาใครก็ไม่เจอเพราะคนเยอะมาก วิ่งๆ ไปซักพักจึงทราบว่าวิ่งผิดกลุ่มไปกับกลุ่มสิบกิโลค่ะเลยต้องวิ่งเลยตามเลยไป หาทางลงจากสะพานอยู่ตลอดค่ะเพราะตอนนั้นยังไม่เคยวิ่งเกินสามกิโลเลยในที่สุดก็หาทางลงมาก่อนได้แล้วนั่งแท็กซี่กลับมาที่รถ ครั้งนั้นน่าจะเป็นครั้งแรกที่วิ่งได้ห้ากิโลกว่า”

คุณปุ้ยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิตมาแต่กลับนำมาให้มองเห็นภาพบางอย่างที่ชัดขึ้น

“ปุ้ยเคยคิดเสมอว่าความหมายในชีวิตคือการได้ทำงานที่รัก แต่เมื่อเวลาเราป่วยเป็นความจริงว่างานกลับไม่ได้มีความหมายมากนักสำหรับปุ้ยในเวลานั้น สิ่งที่ให้ความหมายเป็นกำลังให้เรากลับเป็นความรักความห่วงใยน้ำใจและมิตรภาพที่บริสุทธิซึ่งได้รับมากมายจากครอบครัว ญาติเพื่อนๆ คนที่อยู่รอบตัวเราทั้งลูกน้องผู้ร่วมงานแม้กระทั่งลูกค้าค่ะ ในเวลานั้น

ตลอดเวลาหลายเดือนที่ไม่ได้ไปทำงานพักอยู่บ้านเป็นช่วงเวลาที่ปุ้ยได้รู้จักกับการใช้ชีวิตที่ช้าลง เห็นคุณค่าในสิ่งที่เราได้รับอยู่เสมอแต่บางทีละเลยมองข้ามไปเช่นความรักความเมตตาที่ผู้คนรอบๆมีให้ ที่สำคัญคือปุ้ยรู้สึกมีความสุขกับเรื่องธรรมดาๆเช่น การออกไปเดินเล่นในหมู่บ้าน จัดบ้าน ตัดแต่งต้นไม้ ไปSuper market ซึ่งเวลาที่เราวุ่นวายกับงานไม่เคยสนใจที่จะทำแบบนี้เลย”

“เมื่อก่อนปุ้ยมักจะกลับบ้านมืดค่ำกลับมาเจอลูกสาวกับสามีรออยู่ แต่ตอนที่ไม่สบายนี้กลับกันปุ้ยอยู่บ้านรอดอกปีบกลับจากโรงเรียนพี่ปราโมทย์กลับจากทำงานเวลาเขาสองคนกลับมารู้สึกโลกสดใสขึ้นมากมาย ยังนึกประหลาดใจว่าทำไมหนอเราถึงคิดไม่ได้มาก่อนนี้ในเรื่องที่ใครๆเขาก็รู้ว่าเวลาเป็นสิ่งมีค่าอันควรที่จะให้กับคนที่เป็นที่รักของเราค่ะ”

…………………………………………………………………………………….

ติดตามเรื่องราวฉบับเต็มได้ใน HELLO! ปีที่ 12 ฉบับที่ 16 วางแผงแล้ววันนี้

หรือติดตามฉบับดิจิตอลได้ทาง https://shop.burdathailand.com

และ http://www.ookbee.com/Shop/Issue?magid=HELLO

…………………………………………………………………………………….

ติดตามวิดีโอได้ที่ http://hellomagazinethailand.com/Videos/House-Pui-Wannaporn-Pronpapa

Never miss an update

Subscribe to our newsletter to get the latest updates.

No Thanks
You’re all set

Thank you for your subscription.