Home > Celebrity > Exclusive Interviews > ชีวิตจริงยิ่งกว่าละครของ ‘ดร.พล อินทเสนี’ เริ่มต้นจาก 0 จนถึง 1.5 หมื่นล้านบาท

กว่าจะมาถึงวันที่ ‘คุณพอล-ดร.พล อินทเสนี’ ผู้ก่อตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก AGPI Fund ที่เริ่มต้นจาก 0 จนมีมูลค่ากองทุนกว่า 1.5 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน เขาจินตนาการถึงชีวิตที่ประสบความสำเร็จมาตลอดว่าวันหนึ่งจะต้องเป็น ‘มหาเศรษฐี’ ให้ได้ แต่เส้นทางที่จะก้าวไปถึงเป้าหมายนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ วันนี้ HELLO! เลยขอพูดคุยกับผู้ชายคนนี้ถึงความยากง่ายกว่าจะถึงเป้าหมายการเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีหมื่นล้านอย่างทุกวันนี้

วันหนึ่งจะต้องเป็น ‘มหาเศรษฐี’ ให้ได้ 

ความเนื้อหอมของคุณพอลทำให้หลายองค์กรไขว่คว้าอยากได้เขาไปร่วมงานด้วยชีวิตการทำงานของคุณพอลจึงเติบโตอย่างก้าวกระโดดมาตลอดแต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่เจ้าตัวไม่คาดคิดขึ้นเมื่อถูกหุ้นส่วนชุบมือเปิบธุรกิจที่สร้างมาด้วยกันไปต่อหน้าต่อตา “เหมือนโดนมีดแทงจากหัวใจทะลุไปข้างหลังเลยนะ” แล้วเอ็มดีคนนี้ก็กลายเป็นคนว่างงานอย่างไม่ทันตั้งตัวใครจะคิดว่าวิกฤตใหญ่ในชีวิตครั้งนั้นทำให้เป้าหมายที่เขาฝันไว้เป็นจริงเร็วขึ้นไปอีก 

“ผมไม่ได้เรียนเก่งมาก ยังสงสัยเลยว่าต้องอ่านหนังสือสอบกันด้วยเหรอ” คุณพอลหัวเราะอย่างเป็นกันเอง “ถึงไม่ค่อยชอบเรียนแต่ก็นึกถึงอนาคตตัวเองตลอดนะครับ เพราะได้ยินคุณพ่อพูดกับทีมงานที่บริษัทว่า ‘เป็นนักกฎหมายต้องตีประเด็นให้แตก ต้องว่าความให้ชนะคดีให้ได้’ ตอนนั้นผมอายุ 13 ไม่เข้าใจเรื่องกฎหมายหรอก แต่ซึมซับมาเองว่าต้องทำเป้าหมายให้สำเร็จ และคำว่าแพ้ไม่ได้ก็ฝังอยู่ในตัวผมมาตลอด”

“ต้องแตกต่าง” คือคีย์เวิร์ดสำคัญที่ทำให้
คุณพอลตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโทที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย

“ข้อสอบวัดผลที่โน่นเป็นอัตนัยทุกวิชา เลยเข้าทางผมที่ไม่ชอบการบังคับให้เลือกช้อยส์ตอบ เพราะเราคิดต่างจากคำตอบที่ให้มา และหนังสือบางวิชาก็เคยเรียนมาแล้วสมัยอยู่เอแบค ผมเลยมีชื่อติดบอร์ดเป็นเด็กเรียนดีไปเลยครับ”

หลังเรียนจบคุณพอลได้เป็นนักวิเคราะห์ในบริษัทอินชัวรันส์ที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรเลียเขาได้รับประสบการณ์มากมายจากการทำงานที่นี่แต่ 3 ปีกับการเป็นคนไทยคนเดียวในตึกท่ามกลางสังคมการทำงานแบบตัวใครตัวมันตามสไตล์คนตะวันตกทำให้คนไกลบ้านชักคิดถึงบ้านขึ้นมา “ผมรู้สึกว่าพลังและความคิดเราได้รับการติดอาวุธแล้วผมพร้อมที่จะกลับบ้าน” คุณพอลสมัครบริษัทต่างชาติใหญ่ๆทุกแห่งในเมืองไทยเพราะวันหนึ่งตั้งใจจะกลับไปทำงานในต่างประเทศอีกครั้ง

งานแรกในเมืองไทยเป็นไปตามที่หวังไว้ คุณพอลได้งานในบริษัทอินเวสต์เมนต์ แบงกิ้ง (Investment Banking หรือ IB) ที่ใหญ่ติดอันดับโลกแห่งหนึ่ง แต่ที่นี่กลับทำให้หนุ่มสุดเซลฟ์เช่นคุณพอลต้องรู้สึกต่ำต้อยติดดินเป็นครั้งแรกในชีวิต “ความที่เป็นองค์กรใหญ่อายุร้อยกว่าปี ทุกคนถูกหล่อหลอมให้คิดและทำในสไตล์เดียวกัน เป็นสายเลือดขององค์กรทุกกระเบียดนิ้ว วันแรกในที่ไปทำงานเอ็มดีให้ผมกลับไปเปลี่ยนเสื้อและเนกไทใหม่ เพราะไม่ใช่ลุค IB สไตล์ ผมเสียเซลฟ์ไปเลย ส่วนเพื่อนร่วมงานเป็นคนไทยแต่ไม่พูดภาษาไทย นั่งข้างกันแต่ส่งเมลแทนการหันมาพูดกัน ยิ่งผมไม่ได้จบไอวีลีกอย่างพวกเขา ก็รู้สึกเหมือนถูกข่มอยู่ตลอด”

จากคนเงินเดือนเริ่มต้นด้วยเลข 6 หลัก คุณพอลลาออกมารับเงินเดือนหลักหมื่นกว่าๆ ที่ธนาคารแห่งหนึ่งของไทย เพียงเพราะต้องการเห็นโลกกว้าง พนักงานระดับจูเนียร์ที่เพิ่งเข้ามาทำงานเช่นเขา แต่กลับมีประสบการณ์การทำงานจากองค์กรใหญ่ระดับโลก ทำให้มุมมอง ความคิด และการทำงานของเขาแตกต่างจากคนอื่น จึงได้รับมอบหมายงานสำคัญล้ำตำแหน่งพนักงานน้องใหม่อยู่เสมอ

การเป็นคนโปรดของนายในสังคมไทยที่ถือเรื่องความอาวุโสกลับไม่สร้างปัญหาให้คุณพอลเมื่อเขา ‘อยู่เป็น’ “ผมไม่ทำตัวกร่างข่มใครอยู่แล้วนิสัยผมเป็นมิตรกับทุกคนและชอบช่วยเหลือคนอื่นเพื่อนร่วมงานเลยรักและผู้ใหญ่ก็เอ็นดูพอดีที่ธนาคารกำลังปฏิวัติภายในองค์กรครั้งใหญ่ตั้งแต่เปลี่ยนโลโก้ยูนิฟอร์มและระบบการทำงานที่นำอินเทอร์เน็ตเข้ามาใช้งานผมเลยมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้โดยเฉพาะด้านที่ต้องประสานงานกับต่างประเทศที่ใครๆก็เรียกใช้ผม”

จุดเปลี่ยนชีวิต!!!

การทำงานช่วงหนึ่งที่คุณพอลได้เข้าไปให้บริการธุรกรรมทางการเงินให้ลูกค้าระดับอภิมหาเศรษฐีถึงที่บ้านอันเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สร้างความน่าเชื่อถือและมัดใจลูกค้าของธนาคารนั้น เปิดโอกาสให้คุณพอลได้รู้จักเจ้าของกิจการระดับเจ้าสัวเมืองไทยหลายราย และดูแลการลงทุนของตระกูลใหญ่ๆ ในเมืองไทย การทำหน้าที่ตัวเองสุดความสามารถด้วยความจริงใจ จึงไม่น่าแปลกใจที่ลูกค้ากิตติม ศักดิ์เหล่านั้นจะมอบความไว้เนื้อเชื่อใจกลับมาให้เขา กลายเป็นสัมพันธภาพที่ดีและเป็นคอนเน็กชั่นที่เหนียวแน่นนับจากนั้นมา

จนซีอีโอสัญชาติอังกฤษของธนาคารต่างชาติแห่งสุดท้ายที่เขาทำงานด้วยยื่นข้อเสนอในการให้ไปทำงานที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศศูนย์กลางธุรกิจและการเงินระหว่างประเทศที่คนในแวดวงการเงินปรารถนาที่จะได้ทำงานที่นั่น คุณพอลเองก็เช่นกัน แต่เมื่อได้ทำงานที่สิงคโปร์จริง ที่นั่นกลายเป็นฝันร้ายไม่ต่างจากสมัยเริ่มทำงานใหม่ๆ “สิ่งที่เคยเข้าใจและทำงานที่เมืองไทยมา เมื่อมาอยู่ที่นี่มันไม่ใช่ สิ่งที่เรานึกว่ารู้ทุกอย่างแล้ว แต่เรากลับไม่รู้เรื่องเลย” ความคาดหวังของซีอีโอเมืองไทยและเป้าหมายที่คุณพอลต้องรับผิดชอบค้ำคอให้เขาต้องสู้สถานเดียว “โชคดีที่ผมมีลูกค้าที่ผูกพันกันมานาน เลยยังให้ผมดูแลการลงทุนให้อยู่” ความไว้เนื้อเชื่อใจจากลูกค้าเก่าๆ ทำให้คุณพอล
ดูแลพอร์ตการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในแบงก์นั้น

‘ทำดีได้แต่อย่าเด่นจะเป็นภัย’ เป็นสำนวนที่เข้ากับวิกฤตใหญ่ที่คุณพอลกำลังเผชิญอยู่เมื่อสิงคโปร์ต้องการแบ่งลูกค้าในความดูแลของเขาไปเป็นของตัวเอง การเป็นพนักงานระดับสูง เงินเดือนมากแล้วต้องลาออกกะทันหันเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของคุณพอล

ทว่า ระหว่างที่มรสุมชีวิตกำลังพัดกระหน่ำใส่เขา โชคชะตาก็ลิขิตให้คุณพอลได้รู้จักกับซินแสดังท่านหนึ่ง “ระหว่างที่ผมตัดสินใจลาออก บังเอิญมีเพื่อนชาวมาเลเซียชักชวนผมไปร่วมตั้งบริษัท แอสเซท เมเนจเมนต์ร่วมกันที่สิงคโปร์ ผมเล่าให้ซินแสที่ผมเคารพนับถือฟัง ท่านให้ผมกลับไปต่อรองขอส่วนแบ่งหุ้นเพิ่มจากพาร์ตเนอร์มาเลย์ก่อนตอนบ่าย 3 โมง 45 นาที ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พลังของฝ่ายนั้นจะอ่อนลง แล้วพลังของผมจะเหนือกว่า เจรจาช่วงนั้นจะได้อย่างที่หวัง” ทั้งที่จริงแล้วคุณพอลพอใจกับข้อตกลงก่อนหน้านี้แล้ว แต่เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ซินแสบอกไว้จริงๆ

ฟ้าหลังพายุสดใสได้ไม่นาน เมฆฝนก็ดูจะตั้งเค้าดำทะมึนอีกครา เมื่อหุ้นส่วนที่ก่อตั้งบริษัทมาด้วยกันเล่นไม่ซื่อ “ความรู้สึกเหมือนโดนมีดแทงจากหัวใจทะลุไปข้างหลังเลย เคว้งมาก เกิดมาไม่เคยเจอภาวะนี้ หนนั้นผมทิ้งทุกอย่าง ไม่ได้อะไรติดตัวมาเลย เพราะรับไม่ได้กับการถูกคนที่เราไว้ใจหักหลัง ผมถามตัวเองว่าแล้วชีวิตจะไปยังไงต่อ ที่สำคัญผมเป็นห่วงลูกค้า เพราะเขาเชื่อใจมาอยู่กับบริษัทเปิดใหม่อย่างเรา”

จากงานที่กำลังรุ่งโรจน์เป็นเอ็มดีคนไทยคนแรกของบริษัทบริหารจัดการการลงทุนที่สิงคโปร์เงินเดือนดีลูกค้าเอ็นดูชีวิตที่ราวกับอยู่บนพรมกุหลาบเนื้อนุ่มแท้จริงแล้วพรมผืนนั้นกลับปูลาดอยู่บนพื้นซีเมนต์ที่ทั้งแข็ง และร้อน แต่ความเปลี่ยนแปลงกะทันหันที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ก็ช่วยให้การลุกขึ้นสู้อีกครั้งเกิดขึ้นเร็วยิ่งขึ้น

โอกาสในวิกฤต

เอ็มดีไร้สังกัดใช้เวลา 6 เดือนตกผลึกความผิดหวังเสียใจแปรเปลี่ยนเป็นบทเรียนล้ำค่าในชีวิต “ผมทำเหมือน Jerry Maguire เลย” คุณพอลพูดถึงหนังดังในอดีต “ผมโทร.หาลูกค้าถามตรงๆเลยว่า ‘มีใครจะมากับผมบ้างครับ’” คุณพอลในวันนี้ยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงวันนั้น “ก็ต้องพร้อมเสี่ยงแบบหน้าซีดๆขาสั่นๆนิดนึงครับ” (หัวเราะ) 

ที่สุดในปี 2006 บริษัทเซ็นจูรี่อาร์สัญชาติสิงคโปร์จึงเกิดขึ้น “เหมือนผมเป็นคนใหม่เปลี่ยนตั้งแต่ยูนิฟอร์มรวมถึงความคิดและจิตใจด้วยเวลาที่ผ่านวิกฤตใหญ่ๆมาได้เหมือนเราได้รีเฟรชตัวเองผมรู้สึกว่าข้างในตัวเรามีพลังมากมายเหลือเกินที่จะลุกขึ้นและผมจะไม่ทำอะไรแบบเดิมๆอีกแล้วครั้งนี้ผมจึงไม่คิดถือหุ้นร่วมกับใครอีกผมเริ่มต้นสร้างในสิ่งที่เรามี นั่นคือคอนเน็กชั่นคุณภาพระดับโลก ด้วยการเป็นพันธมิตรกับ 8 ธนาคารยักษ์ใหญ่กับอีก 19 กองทุนระดับโลก ที่คัดสรรแล้วว่าสามารถตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้ตรงจุด และสร้างผลตอบแทนคืนให้ลูกค้าได้อย่างน่าพอใจ”

เรื่องราวต่างๆ ในชีวิตผู้ชายคนนี้ทุกความรู้สึกส่งผ่านทางแววตาของเขาขณะที่บอกเล่าให้เราฟัง แต่ทุกบททุกตอนปิดท้ายด้วยรอยยิ้มเสมอ “การที่ผมมีทุกวันนี้คือชีวิตที่ทุกอย่างบาลานซ์ เราสุข คนรอบข้างเราก็สุข เดินไปไหนก็มีแต่คนรักใคร่ คิดดี ปรารถนาดีกับเรา นี่คือความสุขใจ ความสำเร็จของแต่ละคนอยู่ที่ใครวางเป้าหมายชีวิตตัวเองไว้ตรงไหน หลายคนแย้งว่า ‘เงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด’ แต่อย่าลืมว่า เมื่อมีเงินแล้วจะมีวิธีทำให้ชีวิตมีความสุขได้ง่ายขึ้นเยอะ เป้าหมายชีวิตผมไม่จำเป็นต้องมีเงินเป็นแสนล้านหรอก แค่ทำยังไงก็ได้ให้เงินทำงานแทนเรา จากที่เคยคิดว่าทำยังไงจะได้เงินเดือนเท่านั้นเท่านี้ พอเราเป็นเจ้าของกิจการเอง ชั่วโมงนี้เราจะได้เงินเท่าไหร่ นาทีต่อไปจะได้เงินเท่าไหร่ แค่เราบริหารเงินให้มันไหลมาทุกนาทีก็จบแล้ว

“สมัยนี้เก่งอย่างเดียวไม่พอต้องเฮงด้วย สิ่งที่ผมทำมาตลอดคือการจินตนาการถึงความสำเร็จแล้วทำตามนั้นให้ได้ เหมือนประโยคที่ไอน์สไตน์กล่าวไว้ว่า ‘Imagination is more important than knowledge’ เมื่อเรารู้จักใช้จิตใต้สำนึก เราจะสัมผัสได้ถึงพลังของมัน ใครอยากรวย ต้องคิดและเชื่อก่อนว่าเรารวยได้ การคิดย้ำแบบนี้บ่อยๆ กับตัวเอง จิตจะส่งพลังที่โยงเราไปสู่สิ่งแวดล้อมที่จะพาเราไปสู่ความสำเร็จอย่างที่หวังไว้ แต่สิ่งที่จะชี้วัดคนที่ฝันแล้วไปถึง กับคนที่ได้แค่ฝัน คือการยอมรับจุดบกพร่องของตัวเองแล้วยอมที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ยิ่งรู้แล้วทำได้เร็วเท่าไหร่ โอกาสไปถึงสิ่งที่ฝันก็มีมากขึ้นเท่านั้น เพราะอย่าลืมว่าสิ่งที่ต่อให้รวยล้นฟ้าก็เรียกกลับมาไม่ได้นั่นคือเวลา”

คุณพอล และภรรยาคุณเอมี่-อลิสา อินทเสนี

……………………………….

ติดตามเรื่องราวของเส้นทางสู่ความสำเร็จที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ของ The Achievers ทั้ง 10 ท่าน ได้ใน  THE YOUNG ACHIEVERS

หรือ ติดตามเรื่องราวได้ในนิตยสาร HELLO! ปีที่ 13 ฉบับที่ 19 ประจำวันที่ 13 กันยายน 2561

หรือดาว์นโหลดฉบับดิจิตอลได้ที่  www.ookbee.com www.shop.burdathailand.com

Never miss an update

Subscribe to our newsletter to get the latest updates.

No Thanks
You’re all set

Thank you for your subscription.