หากให้ไล่เรียงว่าเอลิซ่า เปียงตอนเด็กๆ เธอเรียนวิชานอกห้องเรียนมากแค่ไหนนั้น คงต้องบอกว่านับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นขี่ม้า วาดรูป เต้นบัลเลต์ แจ๊ส ฮิปฮอป แอ็กติ้ง หรือปั้น 3D ซึ่งแต่ละอย่างเธอเรียนแค่คลาสเดียวก็หยุด เรียกว่าเรียนเพื่อให้รู้เท่านั้น ทว่าอย่างหลังสุดนี้เธอเรียนต่อเนื่องกันมาตั้งแต่อายุเพียง 9 ขวบจนถึงมัธยมปลาย…เพราะอะไร?
“เอเคยได้ยินพ่อ (โม-เหลียง เปียง) พูดว่าอยากให้เรียน 3D เพราะ 3D is the new future ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจหรอกค่ะ เอยังจำได้ว่าวันแรกที่มาเรียน 3D ที่ iCreation เข้ามานั่งในห้องเรียนแล้วเรายังมีอารมณ์แบบ ‘ทำไมต้องมานั่งที่นี่’ สักพักครูสอนให้ทำสี่เหลี่ยม วงกลม เราก็ตื่นเต้น เป็นโลกทั้งใบที่เราสร้างได้ในคอมพิวเตอร์ สำหรับเด็กคนหนึ่งเลยว้าวมาก บอกแม่ว่าอยากเรียนอีก
“เอเคยเรียนวาดรูป เรียนเปียโน แต่พอถึงโหมดที่โดนบังคับเราจะดีดตัวออกมาเลย แต่พอเรียน 3D แอนิเมชั่นแล้วชอบมาก จึงเป็นครั้งแรกที่เรียนวิชานอกห้องเรียนติดต่อกัน 7 ปี เสาร์อาทิตย์ก็เรียน ซัมเมอร์ก็เรียน ตั้งแต่ป.3 ถึงม.ปลาย”

แม้ว่าก่อนเรียนเอจะเคยเป็นเด็กไฮเปอร์ ใจร้อน แต่การทำ 3D สอนให้เธอรู้จักการทำตามขั้นตอน เพราะถ้าข้ามคำสั่งหนึ่งจะไปต่ออีกคำสั่งไม่ได้ วิชานี้จึงทำให้เธอใจเย็นและมีสติ ส่งผลให้การเรียนที่โรงเรียนดีขึ้นด้วย และขณะเดียวกันก็สอนให้มีจินตนาการ อย่างเช่นหากจะวาดหน้าคน ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าต้องเริ่มจากวงกลมเท่านั้น แต่สามารถเริ่มจากตาหรือปากก็ย่อมได้
แต่โอกาสของเอยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เมื่อ Apple มาสอนใช้โปรแกรม iMovie ที่โรงเรียน ”ตอนนั้นเอเรียนแอนิเมชั่นถึงขั้นที่ทำหนังทั้งเรื่องได้ เราเข้าใจทุกกระบวนการแล้ว แต่พอได้จับกล้องเอตกใจมาก เราไม่ต้องปั้นโมเดลแล้ว เพราะเราแค่ถ่ายด้วยกล้องก็ได้ภาพเลยทันที เราไม่ต้องสร้างอะไรจากความว่างเปล่าอีกต่อไป ชีวิตง่ายขึ้นเยอะเลย” เอพูดพลางหัวเราะเบาๆ และเธอได้รางวัลชนะเลิศระดับโรงเรียนจากหนังเรื่องแรกเรื่องนั้น ระหว่างเรียนอยู่ม.2 หลักสูตรนานาชาติ โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์
เอตกหลุมรักการทำหนังนับจากนั้นเป็นต้นมา เธอเดินหน้าทำหนังเรื่องแล้วเรื่องเล่า ได้สนุกกับการทำทุกอย่างของหนังทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเขียนบท แสดง กำกับ ตัดต่อ แอ็กติ้งโค้ช จัดไฟ ถ่ายทำ สุดท้ายความลุ่มหลงในหนังก็ลามมาถึงห้องเรียนเข้าจนได้
“ตอนม.3 เอต้องพรีเซนต์ประวัติชีวิตนักบุญเปาโล ในวิชาคริสต์ศาสนา เอบอกครูว่าขอทำเป็นหนังแทน เพราะไม่อยากจำบทออกไปพูดหน้าห้อง”
ด้วยความที่ฉากหลังต้องเป็นทะเลทราย เอจึงขอให้คุณแม่ (เกรซ เปียง) เช่ารถตู้พาเธอและเพื่อนๆไปปราณบุรี เช่าชุดทหารโรมัน เช่าม้า หาผ้ามาพันตัวแบบในหนังพระเยซู หลังจากหนังเรื่องนี้ เอไปเห็นประกาศงานประกวดหนังของกรุงเทพมหานคร ที่ทำให้เธอส่งหนังเข้าประกวด และได้รางวัลทุนเรียนที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพกลับมา ซึ่งก็น่าจะเป็นรางวัลที่ควรได้ใช้ด่วน ถ้าไม่ติดว่าตอนนั้นเอยังเรียนอยู่ม.4 “เขาโทร.มาทุกปีว่าเรียนจบหรือยัง มารับทุนด้วย” เอพูดติดตลก

แต่จุดเปลี่ยนชีวิตมาถึง เมื่อเอต้องเลือกระหว่างการเรียน 3D ต่อ หรือเรียนทำหนัง “ตอนที่บ้าทำหนังเอก็ยังเรียน 3D ทุกเสาร์อาทิตย์ เราสามารถทำเอฟเฟกต์ ปั้นระเบิด แต่ฝีมือยังไม่เท่าหนังดิสนีย์ ครูบอกว่ามีวิธีเดียวคือต้องฝึกไปเรื่อยๆ แต่เรามีเวลาฝึกฝนจนเก่งได้ขนาดนั้นหรือเปล่า หรือเราจะเอาดีทางหนังดีกว่าไหม ขณะที่แม่อยากให้เอเป็นหมอ เพราะเขามองว่าถ้าทำหนังเราจะรอดหรือ ส่วนพ่อก็บอกว่าอยากเป็นอะไรก็ได้ แต่อย่าเป็นนักธุรกิจ เขาบอกว่าเหนื่อย
“การที่เอได้ทุนเรียนเป็นจุดที่ทำให้เอตัดสินใจเรียนที่คณะดิจิทัลมีเดียและศิลปะภาพยนตร์ ม.กรุงเทพ เพราะเอไม่ได้ยึดติดชื่อสถาบัน คือถ้าจะเรียนจุฬาฯ ก็ได้ เอถึงยื่นคะแนนเข้าเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เพื่อให้แม่เห็นว่าที่เอเลือกเรียนฟิล์ม ไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือก แต่เราชอบจริงๆ และมองว่าวิชานี้ต้องมีอนาคต แม่ก็โอเค แต่บอกว่าเกรดห้ามตก”
หลังจากได้เข้าเรียนอย่างที่วาดหวังไว้แล้ว เอได้ทำหนังส่งประกวด จนพอจะเรียกได้ว่าเป็นนักทำหนังสั้นมือรางวัลก็ว่าได้ “เอทำหนังส่งประกวดก็ได้รางวัลบ้าง แต่ได้รางวัลยังไม่พอ ต้องได้เงินด้วย ตอนปี 3 ครูที่มาสอนวิชาฟิล์มลงประกาศในเฟสบุ๊กว่าจะเปิดโปรดักชั่นเฮาส์ มีใครอยากทำงานไหม เอก็เสนอตัวทันที เลยเริ่มมีอาชีพตั้งแต่ตอนนั้น เพราะอยากพิสูจน์ให้แม่เห็นว่าอาชีพคนทำหนังก็อยู่รอดได้ในเมืองไทย”

เมื่อถามถึงผลงานที่ทำให้ผู้กำกับอย่างเธอรู้สึกภาคภูมิใจ เอไม่ลังเลเลยที่จะบอกว่า ผลงานธีสิสของเธอที่ทำเป็น mockumentary แซวคุณแม่ตัวเอง เพราะได้แรงบันดาลใจจาก Keeping Up with the Kardashians ซึ่งเป็นเรียลลิตี้โชว์เรื่องโปรด เธอจึงนำรูปแบบรายการนี้มาเล่น โดยได้ไอเดียจากประโยคเดียวของคุณแม่ที่พูดกับลูกว่า “ ‘ฉันไม่ต้องมีเพื่อนก็ได้ ฉันมีเพื่อนของตัวเอง ฉันคลอดเพื่อนออกมา 2 คน’ คำนี้ทำให้เอปิ๊งเลย ก็เลยสร้างคาแรคเตอร์เป็นกูรูคนหนึ่งที่เขียนหนังสือสอนการเลี้ยงลูก และมีปรัชญาว่าลูกคือเพื่อน แล้ววันหนึ่งก็มีรายการเรียลลิตี้มาตามถ่าย”
หนังสั้นเรื่อง ‘The More (เดิร์น) Mom’ ได้รางวัลเหรียญเงิน จากงานประกวดหนังสั้นระดับเอเชียที่ปักกิ่ง และยังได้ไปฉายที่เม็กซิโก โรมาเนีย อิตาลี และขณะนี้เอเป็นผู้กำกับหนังโฆษณาอนาคตไกล หากถามว่าใครที่เธออยากขอบคุณ คำตอบก็คือคุณพ่อและคุณแม่ที่เปิดกว้างให้เธอเรียนทุกอย่างที่อยากเรียน แม้ว่าในบางครั้งจะไม่จริงจังก็ตาม
ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ใน HELLO! Education 2020 สั่งซื้อได้ที่โทร.084-079-5678,089-921-1174 หรือ shop.burdathailand.com จัดส่งฟรีทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 เมษายน 2563