สำหรับผู้ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของสมาชิกราชวงศ์อังกฤษอย่างใกล้ชิด คงจะพอทราบว่าเจ้านายชั้นสูงของราชวงศ์ที่จบการศึกษาในระบบแล้ว ก็ยังทรงศึกษาเพิ่มเติมอีกเป็นช่วงๆ เพื่อให้ก้าวทันกับสังคมโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นแม้จะทรงใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายในพระราชวัง ก็ยังต้องทรงเรียนรู้ทักษะต่างๆที่จำเป็นต่อการดำรงค์พระชนม์ชีพอย่างไม่มีวันสิ้นสุด บางอย่างก็เป็นวิชาแปลก เช่นการเรียนรู้เทคนิคการขับรถให้รอดพ้นจากสถานการณ์คับขันต่างๆ ทำให้เราไม่แปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดราชวงศ์อังกฤษถึงยังคงอินเทรนด์ และสืบทอดความเป็นสถาบันกษัตริย์ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายร้อยปีได้โดยไม่ตกยุค

ช่วงเวลา Gap Year เป็นช่วงรอยต่อระหว่างมัธยมศึกษากับอุดมศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ที่สมาชิกราชวงศ์รุ่นใหม่ตอบรับเป็นอย่างดี สิ่งที่วัยรุ่นส่วนใหญ่ทำในช่วงเวลานี้คือการทำงานและท่องเที่ยว เพื่อเป็นการเปิดมุมมองใหมให้กับตัวเอง เจ้าชายวิลเลียมทรงเข้าร่วมฝึกในกองกำลังอารักขาเวลช์ที่เบลิซ ทรงเป็นอาสาสมัครที่ชิลีและแอฟริกา และทรงทำงานที่ฟาร์มโคนมสหราชอาณาจักร
ขณะที่ดัชเชสเคทก็เป็นอาสาสมัครที่ชิลี เข้าเรียนที่ British Institute ในฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี และเป็นลูกเรือใน Round the World Challenge boats ที่อังกฤษ ส่วนเจ้าชายแฮรี่ก็ทรงทำงานในไร่ที่ออสเตรเลีย ทั้งยังทรงใช้เวลาในฟาร์มโปโลที่อาร์เจนตินา และทรงเป็นอาสาสมัครที่เลโซโท แอฟริกา
การเรียนชั้นอุดมศึกษาเป็นสิ่งใหม่สำหรับราชวงศ์อังกฤษเช่นกัน เจ้าฟ้าหญิงแอนทรงมีพระราชกรณียกิจเต็มเวลาตอนพระชนมายุเพียง 18 ชันษา ทรงเป็นประธานมูลนิธิ Save The Children สองปีให้หลัง ส่วนเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ก็ทรงรับราชการในกองทัพทันที
ทว่าเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ทรงเป็นรัชทายาทอังกฤษพระองค์แรกที่จบการศึกษาปริญญาตรี ทรงเรียนโบราณคดีและมานุษยวิทยา ก่อนจะทรงย้ายไปเรียนประวัติศาสตร์ที่ Trinity College Cambridge จากนั้นสมาชิกราชวงศ์อังกฤษรุ่นต่อๆมาก็เข้าเรียนในสาขามนุษยศาสตร์
ทั้งเจ้าชายวิลเลียมและดัชเชสเคตต่างก็ทรงเรียนประวัติศาสตร์ศิลป์ที่ University of St Andrews ในสก็อตแลนด์ แต่ภายหลังเจ้าชายวิลเลียมทรงเปลี่ยนวิชาเอกเป็นภูมิศาสตร์ ด้านเจ้าชายแฮรี่ทรงเข้ารับราชการทหารโดยไม่ทรงเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนดัชเชสเมแกนนั้นเรียนการละครและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ Northwestern University และเข้าฝึกงานที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาในบัวโนสไอเรส อาร์เจนตินา

ด้วยเหตุที่ราชวงศ์อังกฤษเป็นผู้นำกองทัพอังกฤษ สมาชิกราชวงศ์ที่เป็นชายทุกพระองค์จึงทรงรับราชการทหารตามธรรมเนียมที่สืบทอดต่อกันมารุ่นต่อรุ่น เจ้าชายฟิลิปทรงเป็นทหารเรือ และเคยเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ทรงเข้ากองทัพอากาศ เจ้าชายแอนดรูว์ทรงเป็นทหารเรือเหมือนพระบิดา และเข้าร่วมรบในสงครามหมู่เกาะโฟล์คแลนด์
ด้านเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮรี่ทรงร่วมฝึกในโรงเรียนนายร้อยแซนด์เฮิร์สต์ เจ้าชายวิลเลียมทรงเป็นนักบินในหน่วยกู้ภัยของกองทัพอากาศ เจ้าชายแฮรี่ทรงเป็นทหารบกในกองกำลังที่ประจำอยู่ในเฮลมานด์ ประเทศอัฟกานิสถานเป็นเวลานานกว่าสองเดือน
เส้นทางการศึกษาของราชวงศ์อังกฤษ ไม่ได้สิ้นสุดลงแค่มหาวิทยาลัย สมาชิกราชวงศ์อาวุโสทุกพระองค์จะต้องเข้ารับการฝึกกับ Special Air Services (SAS) และเรียนรู้ที่จะรับมือกับสถานการณ์อันตราย อาทิเช่นการถูกผู้ก่อการร้ายโจมตี หรือการถูกลักพาตัว สมาชิกราชวงศ์จะต้องฝึกเทคนิคการขับรถให้รอดพ้นจากสถานการณ์คับขันต่างๆ
นอกจากนี้ยังต้องทรงเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ประวัติการปกครองระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และการพูดต่อหน้าสาธารณชน รวมทั้งการฟังสรุปย่อก่อนทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งอย่างหลังทรง-ต้องเรียนรู้เรื่องเศรษฐกิจและสังคม วัฒนธรรม ศาสนา และการเมืองของประเทศนั้นๆ เพิ่มเติมอีกด้วย

ในฐานะที่ทรงเป็นสมาชิกราชวงศ์รุ่นใหม่ เจ้าชายวิลเลียมยังทรงงานที่ Bank of England ตลาดหุ้นลอนดอน บริษัทประกันภัย Lloyds of London และตลาดปลา Billingsgate เพื่อทำความเข้าใจการทำงานของสถาบันการเงินที่แตกต่างกันไป และความสอดคล้องพอดีของกลุ่มธุรกิจเหล่านี้
นอกจากนี้เจ้าชายวิลเลียมยังทรงเรียนรู้เรื่องการจัดการการเกษตรเป็นเวลา 10 สัปดาห์เมื่อหกปีก่อน เพราะทรงมีพระประสงค์ที่จะรับช่วงต่อปราสาท Duchy of Cornwall จากเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ไม่แน่ว่าสองทศวรรษให้หลังเราอาจเห็นเจ้าชายจอร์จทรงดำเนินรอยตามพระบิดาก็เป็นได้
ที่มา : townandcountrymag.com