‘ฟา เบเนเดทตี้’ สาวผู้มีดวงหน้าสวยคมมีมิติมาพร้อมน้ำเสียงทุ้มทว่ามีความอ่อนโยนบวกกับรูปร่างสูงโปร่งสะดุดตา นับเป็นมรดกทางกายภาพที่ผสานกันได้อย่างลงตัวระหว่างเชื้อชาติอิตาเลียนทางฝั่งคุณพ่อ ’มร.อโดโฟเบเนเดทตี้’ และเชื้อชาติไทยจากฝั่งคุณแม่ ‘วารุณี เบเนเดทตี้‘กับทายาทธุรกิจไวน์ชั้นดีที่นำเข้าจากอิตาลี อย่างแบรนด์ ‘อิตาเลเซีย‘อีกด้วย
คุณฟา เบเนเดทตี้ และเพื่อนๆสมัยเรียนที่ สวิส
จากมาแตร์เดอี สู่ TASISสวิตเซอร์แลนด์ สาวฟาเกิดและโตที่เมืองไทยเธอเรียนมาแตร์เดอีจนจบชั้นมัธยมต้นก่อนคุณพ่อจะส่งไปเรียนไฮสคูลที่ TASIS สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งหมายถึง ‘บอร์ดดิงสคูล‘ ชื่อดังที่ปัจจุบันมีแคมปัสในหลายประเทศอย่าง ‘The American School in Switzerland’ ณ เมืองลูกาโน ที่ติดกับพรมแดนอิตาลี “โรงเรียนตั้งอยู่บนเขา สวยมากแต่ก็เหงามากค่ะ” เธอเกริ่นด้วยประโยคชวนคิดในคลาสเรียนใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่พอนอกคลาสเขาคุยกันเป็นอิตาเลียนหมด เลยมีความจำเป็นทำให้สาวฟาต้องพูดสื่อสารได้นั่นเอง สาวฟาเดินทางไปเรียนโดยการนั่งรถไฟข้ามพรมแดนเพียง 15 นาทีเท่านั้นก็ถึงมิลานแล้วคุณฟาเล่าว่าสำหรับตัวเธอเองแล้ว ‘ไฮสคูล’ ถือเป็นช่วงเวลาเหมาะสมในการไปศึกษาต่อต่างประเทศเพราะเป็นช่วงที่ปรับตัวได้ดีทั้งในแง่ต่อตัวเองและระบบการศึกษา ด้วยห้องเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนเพียง 10 – 15 คน ประกอบกับความเอาใจใส่อย่างทั่วถึงของครูทำให้มุมมองการศึกษาของเธอเปลี่ยนไป และเป็นพื้นฐานที่ดีในการศึกษาต่อระดับสูงในภายหน้าอีกด้วย “ ระบบการเรียนที่สวิสเน้นให้เด็กทำความเข้าใจเนื้อหาเป็นพาร์ตๆ ไป ไม่เน้นเนื้อหาที่เยอะเกินไปประกอบกับเพื่อนรอบข้างที่ดีทำให้มุมมองการเรียนเปลี่ยนไปมากทำให้เห็นชัดเลยว่าบรรยากาศดีๆ สิ่งแวดล้อมรอบตัวที่ดีส่งผลโดยตรงต่อศักยภาพผู้เรียนอย่างมากอีกด้วย
ในวัยเรียนที่ต่างประเทศของสาวฟา เบเนเดทตี้
เดิมทีทางบ้านอยากให้ไปต่อมหาวิทยาลัยที่อังกฤษ ซึ่งทั้งคุณพ่อ และคุณแม่ไปดูที่ทางเตรียมให้หมดแล้ว แต่ไปๆ มาๆ คุณพ่อคงเห็นว่าที่อังกฤษมีเด็กไทยเยอะกลัวจะพากันเที่ยวเล่นมากกว่าเรียนจึงเริ่มลังเลประกอบกับช่วงไฮสคูลปีสุดท้ายที่โรงเรียนมีแนะแนวศึกษาต่อที่อเมริกา และเลือกไปเรียนที่แอลเอ เพราะเคยไปเที่ยว และชอบบรรยากาศที่เหมือนอยู่ในหนังเลยตัดสินใจไปต่อที่ Marymount College คนเดียว ส่วนเพื่อนๆ ไปบอสตันกันหมด iberal Arts กับพื้นฐานความคิด “แคมปัสที่นี่สวยสมใจมากตัวคอลเลจอยู่บนภูเขาสุดปลายอ่าวทางด้านลองบีช เมืองชื่อ Palos Verdes ซึ่งจากห้องเรียนก็มองเห็นวิวทะเลสวยมากทำให้มีแรงบันดาลใจในการเรียนเป็นที่สุด จริงๆ แล้วคุณพ่อคุณแม่ค่อนข้างจะเป็นห่วงที่ต้องไปเรียนในเมืองใหญ่ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างแอลเอโชคดีที่แคมปัสนี้เป็น ‘ไพรเวตคอลเลจ’ ด้านเนื้อหาการเรียนเป็นหลักสูตรสองปีสอน ด้านศิลปศาสตร์ (Liberal Arts) พวกเลข ภาษา,จิตวิทยา,ปรัชญา ซึ่งวิชาพื้นฐานจะประมาณแนวๆ นี้การเรียนที่ Marymount College ยังช่วยเอื้อประโยชน์ให้แก่ตัวสาวฟาอีกด้วย โดยเธอเล่าว่า “ฟาชอบจดโน้ตค่ะ เวลาอ่านหนังสือแค่ไฮไลท์ไม่พอต้องจดด้วยถึงจะจำแม่น และไม่ต้องมาอ่านซ้ำอีก ที่คอลเลจจะมีส่วนที่เรียกว่า ‘learning disability’ สำหรับคนที่มีข้อบกพร่องทางการเรียน เขาจะเอาโน้ตของฟาไปแชร์ให้นักเรียนเหล่านี้ ฟาจึงต้องส่งโน้ตที่จดให้ครูตลอด ซึ่งครูยังบอกอีกว่ามันจะดีต่อเรซูเม่ของเราเวลาไปยื่นเรียนต่อที่อื่น” ในบรรดาเพื่อนๆไฮสคูลที่สนิทสนมกันพอเมื่อมีโอกาสได้บินไปเยี่ยมเพื่อนที่บอสตันเป็นครั้งคราวเลยได้ถือโอกาสเปิดโลกทัศน์ด้านการศึกษาในอีกมุมมองหนึ่งไปด้วย จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เธอเลือกไปศึกษาต่อยังเมืองแห่งมหาวิทยาลัยอย่างเมืองบอสตัน ณ อีกฟากฝั่งของประเทศต่อ
ฟา เบเนเดทตี้
การเรียนที่ Liberal Arts ในช่วงเวลา 2 ปี ที่แอลเอทำให้รู้ใจตัวเองแล้วว่าชอบอะไรดดยสาวฟาได้ค้นพบว่าสิ่งที่ตัวเองชอบคือ ‘จิตวิทยา’ ธรรมดาสาวฟาไม่ใช่คนอ่านหนังสือมากมายนอกจากช่วงสอบแต่สำหรับวิชาจิตวิทยา และปรัชญาเป็นข้อยกเว้น เพราะ มีแต่เรื่องให้สาวฟาคิดต่อได้เต็มไปหมด ซึ่งนำไปสู่โลกการศึกษาจิตวิทยาอย่างแท้จริง พร้อมจุดหักเหในชีวิตของสาวฟาอย่างแท้จริงเมื่อรู้ใจตนเองดีแล้วจึงไม่ขอรอช้าตระเตรียมหาที่เรียนต่อทันที โดยสถาบันที่เธอสนใจนั้นต้องมีหลักสูตร จิตวิทยาที่เข้มข้น และน่าเรียน คำตอบจึงมาออกที่ 2 มหาวิทยาลัยในเมืองบอสตัน เมื่อหักลบคะแนนถี่ถ้วนแล้วเธอจึงเลือกหลักสูตรที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด นั่นคือ ‘Social and Industrial Psychology’ แห่งมหาวิทยาลัย Northeastern University “พอรู้ข่าวว่าทั้ง 2 มหาวิทยาลัยตอบรับสาวฟาไม่รอช้ารีบโทรหาคุณพ่อคุณแม่ทันทีทั้งที่ตอนนั้นเป็นเวลาตี 4 ของเมืองไทย เธอเล่าต่อว่าบรรยากาศการเรียนคราวนี้ไม่เหมือนเดิมจากแคมปัสเล็กๆ ที่เคยเรียนกลายเป็นใหญ่มากนักศึกษาเยอะมาก ดังนั้น strategy ในการเรียนของเธอจึงเปลี่ยนไปต้องหาบัดดี้เรื่องเรียนเผื่อเวลาไม่เข้าใจ หรือจดไม่ทันจะได้ช่วยกันได้ เธอก็พบกับนักเรียนญี่ปุ่นซึ่งเป็นคนขยันมากโดยเธอจะไปนั่งข้างเขาตลอดเวลาที่เจอกันในคลาส” ระบบการเรียนของที่ยูฯนี้จะเป็นควอเตอร์ค่ะ ซึ่งก็ดีเพราะจะได้เรียนมากขึ้นในเวลาที่สั้นลงที่นี่มี experiential study คือ เราสามารถไปฝึกงานกับคนที่เป็นโปรเฟสชั่นนอลตัวจริงได้โดยตรง ซึ่งเธออธิบายเพิ่มอีกว่าการศึกษาด้านจิตวิทยาหลักๆ แล้วมี 3 แขนงคือ จิตวิทยาคลินิกที่จบมาเป็นนักจิตวิทยาให้คำปรึกษา ,จิตวิทยาพัฒนาการจบมาเป็นครู และจิตวิทยาสังคมที่เน้นเรียนกว้างๆเอาเนื้อหามาปรับใช้ได้ทั่วไปไม่เฉพาะเจาะจง “คุณฟาเลือกเรียน ‘สายโซเชียล’ เพราะรู้สึกว่าเอามาใช้ได้ในชีวิตจริงจึงเลือกคลาสต่อเนื่องเป็น ‘Industrial Psychology’ เน้นเป็น case study ของพวกองค์กร พร้อมกันนี้สาวฟาก็ลงเรียนหลักปรัชญาอีกด้วยในทุกเทอม จนถึงจุดหนึ่งที่ต้องบอกตัวเองให้หยุดเรียนได้แล้ว เพราะเราเริ่มออกห่างจากโลกความจริงแล้ว(หัวเราะ) คือ ปรัชญาเป็นวิชาที่ดีทำให้เรามีพื้นฐานความคิดแต่ก็ต้องรู้จักตัวเองด้วยโดยเราจะต้องมีเป้าหมายของเราในการเรียนโดยเรียนให้สนุก เพราะสุดท้ายแล้วสาวฟาก็ทำได้เธอสามารถนำเกียรตินิยมกลับมาฝากคุณแม่ได้สำเร็จ
หลังเรียนจบคุณฟาหาประสบการณ์ทำงานนอกบ้านอยู่ระยะหนึ่งก่อนมาเสริมทัพพี่ชาย(คุณแม็กซ์-จักรกฤต เบเนเดทตี้) ดูแลกิจการ Italasia ของครอบครัวต่อไปซึ่งสาวฟายังบอกอีกว่าความเป็นห่วงเป็นใยพนักงานนั้นสำคัญมาก ดีกว่าวางตัวให้คนเข้าไม่ถึง “ฟาชอบคำพูดของกูรูธุรกิจที่ชื่อ ‘Richard Branson’ เขากล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า ‘Clients do not come first.Employees come first. If you take care of youremployees, they will take care of the client.’ ซึ่งมันจริงมากสำหรับการบริหารงานยุคปัจจุบันค่ะ