เหตุผลสำคัญเรื่องการศึกษาของ ‘น้องมายู’ ที่พ่อหนุ่ม-แม่เมย์เลือก ต้องเป็นโรงเรียนนานาชาติ!!
โจทย์ใหญ่อีกโจทย์หนึ่งของคุณพ่อและคุณแม่ทุกครอบครัวก็คือก้าวแรกของการศึกษาสำหรับลูก นั่นก็คือการเลือกโรงเรียนระดับอนุบาลเพราะด้วยความมุ่งหวังอยากให้ลูกได้รับการศึกษาจากโรงเรียนที่สุด ใช่ที่สุดสำหรับลูก และเป็นโลกใบใหม่ที่ลูกจะต้องเรียนรู้อย่างมีความสุข ทำให้หลายคนเต็มไปด้วยความกังวลใจว่า แล้วโรงเรียนไหนล่ะจะเป็นคำตอบที่ใช่? ซึ่ง ‘พ่อหนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย’ และ ‘แม่เมย์ เฟื่องอารมย์’ (ปทิดา กำเนิดพลอย) ก็ไม่ต่างจากผู้ปกครองทั้งหลาย แต่ด้วยความชัดเจนอันดับแรก ‘ลูกต้องเรียนโรงเรียนนานาชาติ’ และสำคัญที่สุดคือ ‘ลูกเราต้องชอบโรงเรียนนี้’ ทำให้ Harrow International School Bangkok เป็นคำตอบโรงเรียนที่ใช่ที่สุดสำหรับก้าวแรกของการศึกษาของ ‘น้องมายู’
ทำไมโรงเรียนของน้องมายูต้องเป็นโรงเรียนนานาชาติ
คุณเมย์ยกมือขอตอบคำถามแรกนี้ “เริ่มต้นที่ตัวเมย์เองเลยค่ะที่อยากให้มายูเรียนโรงเรียนอินเตอร์ ตั้งแต่อนุบาล เพราะยอมรับเลยว่าบ้านเราไม่เก่งภาษาอังกฤษ ทั้งเมย์ทั้งพี่หนุ่มเราเรียนจบโรงเรียนไทยมาตลอด ไม่ได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ หลายๆ อย่างทำให้ภาษาอังกฤษของเราถูกจำกัดขอบเขต แต่เมย์ไม่อยากให้มายูเป็นแบบนี้ เลยคุยกับพี่หนุ่ม ซึ่งตอนแรกเขาก็กังวลเหมือนกัน” ถึงตรงนี้คุณหนุ่มได้เล่าเสริมว่า “ตอนแรกก็ห่วงเหมือนกันครับ เอ๊ะ! โรงเรียนนานาชาติจะทำให้ลูกเราเป็นฝรั่งจ๋าไหม? แต่ถ้ามองกันให้ไกลๆ ภาษาอังกฤษเป็นภาษานานาชาติที่ทั่วโลกต้องใช้ เพราะฉะนั้นลูกเราก็ควรต้องได้ภาษาอังกฤษ” คุณเมย์ตอบรับคำพูดของคุณพ่อน้องมายูโดยเล่าต่อไปว่า “ถูกต้องที่สุดค่ะ และเมย์กับพี่หนุ่มก็คิดว่าการที่จะได้ภาษาอังกฤษดีๆ ก็ต้องเริ่มต้นจากการเรียนครั้งแรกของเขานี่ละ ควบคู่ไปกับการพูดไทยของเราที่บ้าน เพราะบ้านเราเป็นไทยมาก พูดไทยกันทั้งบ้าน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวเลยว่ามายูจะไทยคำ
อังกฤษคำ ในมุมของเมย์การมาโรงเรียนที่เป็นภาษาอังกฤษก็น่าจะตอบโจทย์ครอบครัวของเราได้เป็นอย่างดี กลายเป็นว่าทุกวันนี้มายูตอนอยู่บ้าน ไทยจ๋ามาก มาโรงเรียนถึงค่อยเป็นฝรั่ง (หัวเราะ)”

ประสบการณ์การสรรหาโรงเรียนแต่ละแห่งสำหรับน้องมายูเป็นอย่างไรบ้าง
“ตัวเมย์และพี่หนุ่มใช้หลักการอย่างนี้ค่ะ หนึ่ง…เลือกสถาบันที่ได้รับการยอมรับ ลิสต์มาว่าที่ไหนบ้าง สอง…เลือกที่ไปมาสะดวกระหว่างบ้านกับโรงเรียน สาม…ดูสิ่งแวดล้อมต่างๆ ของโรงเรียนว่าเป็นอย่างไร ปลอดภัยสำหรับลูกเราไหม เมย์ว่าเลือกโรงเรียนก็เหมือนการซื้อบ้านนะคะ พอเหยียบที่ไหนแล้วรู้สึกว่าเคมีเข้ากัน สปาร์คกัน นี่แหละคือที่ใช่ ซึ่งพอเมย์มาที่ Harrow ก็รู้สึกชอบจังเลย ไม่ไกลบ้านนัก บรรยากาศให้ความรู้สึกสบายๆ ไม่อึดอัด มีพื้นที่สนามหญ้ากว้างๆ มีแดด ให้ลูกวิ่งกลางแดดจ้าๆ บ้างก็โอเค ให้เด็กได้เจออะไรอย่างนี้บ้าง ตัวอาคารก็ไม่อึดอัด เมย์ชอบการจัดวางเลย์เอาต์ของ Harrow พื้นที่ดูโล่ง โปร่งตา เลยรู้สึกถูกใจและตัดสินใจเลือกที่นี่”
ฟังคุณเมย์เล่าแล้ว ทำให้ต้องหันไปถามคุณพ่อหนุ่มบ้าง “ผมมาครั้งแรกก็ชอบบรรยากาศ Harrow เลยนะ และที่สำคัญที่สุดไม่รู้สึกว่าเป็นโรงเรียนอินเตอร์จ๋า เด็กๆ ดูเรียบร้อย มันเหมือนมีความอินเตอร์แบบไทย ซึ่งก็เหมาะสมกับสิ่งที่เราต้องการ เราอยากให้ลูกได้ภาษาอังกฤษ แต่ด้านสังคมวัฒนธรรมก็ต้องการให้เขามีความเป็นไทย”
อะไรทำให้ Harrow International School Bangkok คือคำตอบที่ใช่ของน้องมายู
คุณเมย์บอกว่า…ตอนนี้น้องมายูเรียนอยู่เนิร์สเซอรี่ ถ้าเทียบของไทยก็คืออนุบาล 1 “เมย์ตัดสินใจเลือกที่นี่ให้มายูตอนเขาอายุ 1 ขวบ 2 เดือน สำหรับหลายคนอาจมองว่าช้านะ เพราะบางคนเลือกโรงเรียนให้ลูกได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง แต่เมย์กับพี่หนุ่มต้องคิดก่อนตัดสินใจ อยากให้เลือกให้ดีที่สุด ตอนที่มายูอายุขวบกว่าก็มาลองเรียน Little Lions ที่นี่เขาจะเปิดให้เด็กก่อน 2 ขวบเข้ามาลองเรียนกับคุณแม่ เมย์ก็เลือกที่จะเข้ามาเรียนเองด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าตอบโจทย์ให้ลูกเรียนต่อในชั้นอนุบาลหรือพรีเนิร์สเซอรี่หรือไม่ พอเข้ามาเรียนแล้วก็ชอบ น้องมายูก็ชอบ และคงเริ่มสนิทกับเพื่อนด้วย เริ่มเจอเพื่อนในกลุ่ม เลยเริ่มชอบโรงเรียน อีกอย่างที่สำคัญของที่นี่ คือเรื่องระบบควา,ปลอดภัยเขาให้ความสำคัญมาก ไม่อ่อนข้อใดๆ อย่างตัวเมย์เรายอมรับว่าเป็นคนที่หลายคนรู้จัก แต่ก็ต้องทำตามกฎ กติกา และมารยาท (หัวเราะ) ทุกคนเสมอภาคกัน ดูแลทุกคนดี
เท่าเทียมกัน ไม่เฉพาะลูกเรา ลูกคนอื่นๆ เขาก็ดูแลอย่างดี”
จากวันแรกจนถึงปัจจุบัน เราเห็นการพัฒนาของน้องมายูเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
“ที่เห็นชัดๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องของอารมณ์ ก่อนเข้าโรงเรียนมายูเป็นเด็กค่อนข้างเอาแต่ใจ เฮี้ยวๆ แรงๆ หน่อย ไม่ชอบก็ไม่ชอย กรี๊ดๆ แต่ทางคุณครูที่ Harrow ค่อนข้างเข้าใจเด็กมากๆ เขาก็จะค่อยๆ มีวิธีในการพูดกับเด็ก ซึ่งเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย คาแรกเตอร์ก็มีหลายรูปแบบ ของมายูเป็นแบบนี้ ครูก็จะเข้าใจค่ะ และบอกเมย์ด้วยว่าต้องสตรองและเข้มแข็งนะ โอเคว่า…ลูกอาจจะงอแงบ้าง แต่เดี๋ยวพอคุณแม่ส่งเข้าเรียนแล้วครูก็จะจัดการทุกอย่าง ซึ่งมายูก็ดีขึ้นตามที่ครูบอกจริงๆ ต้องยกความดีความชอบให้คุณครูจริงๆ เขามีความอะลุ่มอล่วย ไม่ได้สตริคจนเมย์รู้สึกว่าลูกถูกกดดันหรือครูโหด ครูเข้ากับสไตล์ของเด็กแต่ละคนได้ดี แล้วเวลามีปัญหาก็รับฟังความคิดเห็น ใส่ใจในรายละเอียด พูดคุยกันได้กับผู้ปกครองแบบโอเคเลยครับ” ในฐานะที่เป็นคุณแม่เลี้ยงน้องมายูเป็นหลัก ส่วนคุณหนุ่มจะเป็นคุณพ่อที่ต้องทำงานทั้ง 7 วัน ทำให้คุณเมย์ขอเป็นคนเล่ารายละเอียดระหว่างที่น้องมายูอยู่ที่โรงเรียนกับคุณครูเองดีกว่า
วางอนาคตการเรียนของน้องมายูไว้อย่างไรบ้าง
“ณ ตอนนี้คงเป็นไปตาม step ของอายุที่เรียนครับ ส่วนการเสริมเรื่องของการเรียนต่อไปผมกับเมย์ที่แม้จะเรียนกันไม่เก่งแต่ประสบการณ์ชีวิตที่ไม่มีสอนในโรงเรียนเราผ่านกันมาเยอะ และนั่นทำให้เราอยู่รอดในสังคม เราก็เลยอยากให้ลูกเราเป็นแบบนี้ด้วย อย่างบางคนเรียนเก่งมากแต่กลับไม่รุ่งด้านอาชีพการงานหรือการดูแลชีวิตตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมากสำหรับในยุคนี้ การศึกษาหรือการเรียนเราก็ผลักดันและส่งเสริมเขาไปในแนวทางที่เขาชอบและเป็นเลือก ส่วนประสบการณ์ชีวิตกับการอยู่ในสังคมก็สำคัญมากเช่นกัน ทั้งการเอาตัวรอด อยู่ให้ได้ดี ต่อให้คุณเรียนเก่งแต่อยู่ในสังคมไม่ได้ คุยกับเจ้านายคุณไม่ได้ เข้ากับใครก็ไม่ได้ แย่เลยครับ เราต้องสอนให้เขามีทั้งวิชาการและประสบการณ์ชีวิต เขาจะได้สตรองต่อไปและโตไปได้ในชีวิตของเขา ผมกับเมย์ในฐานะพ่อแม่ก็เต็มที่กับลูกมาก พวกเราเต็มที่เท่าที่จะทำได้ ให้ลูกให้มีการศึกษาที่ดี ให้อยู่ในที่ดีๆ ที่เหลืออนาคตลูกก็ต้องไปสานต่อในวิถีชีวิตของตัวเองต่อไป” คุณพ่อหนุ่มกล่าวปิดท้ายการวาดเส้นทางอนาคตของลูกสาวคนเก่ง
…………………………………………..