คี ฮุย ควน หรือโจนาธาน วัย 51 ปี เกิดในครอบครัวชาวจีนโพ้นทะเล ที่ไซ่ง่อน หรือโฮจิมินห์ซิตี้ ประเทศเวียดนาม เขามีพี่น้อง 5 คน ตอนท่ีเขาอายุ 8 ขวบ ครอบครัวเขาพยายามหนีภัยสงครามจากไซง่อนออกนอกประเทศอยู่สองครั้งสองครา แต่ก็ล้มเหลว จนครั้งต่อมาถึงได้สำเร็จ
โดยที่แม่ของเขา และพี่น้องอีก 3 คนหนีไปมาเลเซีย ส่วนพ่อของเขา คี ฮุย ควน และพี่น้องที่เหลือต้องนั่งเรือไปกับผู้อพยพคนอื่นๆอีกนับพันคนไปยังค่ายผู้อพยพที่ฮ่องกง
เขาย้อนความหลังถึงสภาพค่ายผู้อพยพในตอนนั้นว่า “เราอยู่ในตึกที่ไม่ใหญ่เลย และมีรั้วตาข่ายรอบตึก เตียงนอนเป็นเตียงสนามวางชิดกัน และมียามคอยจับตาดูว่าเราจะไม่หนีออกไป ผมรู้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก เพราะเราจากบ้านมาแล้ว และที่นั่นไม่ใช่บ้านของเรา ผมคิดถึงแม่และพี่น้องที่เหลือมาก”
พวกเขาอาศัยอยู่ในค่ายเป็นเวลาหนึ่งปี จนกระทั่งได้รับอนุญาตให้เข้าสหรัฐฯได้ ครอบครัวที่เคยพลัดพรากได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งที่แอลเอ เขาได้เดินทางด้วยเครื่องบินเป็นครั้งแรกและครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตตน
ที่อเมริกา เขากลายเป็น ‘เด็กที่เพิ่งขึ้นจากเรือ’ และมักจะถูกเพื่อนๆ ล้อเลียน “ไม่มีใครสุงสิงกับเรา คุณนึกภาพออกไหมว่า มันทำร้ายจิตใจเด็กคนหนึ่งมากขนาดไหน”

เขาได้เข้าเรียนในโรงเรียน Casteler Elementary School ในย่านไชน่าทาวน์ ที่ที่ ไมค์ เฟนตัน Casting Director ค้นพบเขาหลังจากพยายามควานหาเด็กเอเชียแทบจะทั่วโลก จนแทบจะถอดใจ เพื่อมารับบท Short Round ในหนังเรื่อง Indiana Jones and The Temple of Doom
ทีแรกเดวิด น้องชายของเขา เป็นคนไปทดสอบบทก่อน และ คี ฮุย ควน ซึ่งสวมสูทสามชิ้น และเหน็บสร้อยทองที่กระเป๋าเสื้อแบบย้อนยุค เป็นคนที่คอยโค้ชชิงการแสดงให้กับน้องชายหน้าห้องทดสอบบท เฟนตันเห็นแววจึงชวนเขาเข้าทดสอบบทเสียเลย
ให้หลังจากนั้นสามสัปดาห์ เขาก็บินไปร่วมงานกับกองถ่ายของสตีเฟน สปีลเบิร์กที่ศรีลังกาพร้อมกับมารดา
จากหนังเรื่องแรก ก็มีเรื่องที่สอง The Goonies ตามมา และซีรีส์ซิทคอม Together We Stand และ Head of The Class ด้วย
เขาเรียนมัธยมปลายที่ Alhambra High School ที่อัลฮัมบร้า แคลิฟอร์เนีย และจบปริญญาตรีทางด้านภาพยนตร์และโทรทัศน์ จาก University of Southern California

มีเรื่องน่าประทับใจเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้กำกับกับนักแสดง แม้ว่าเขาจะเล่นหนังของสปีลเบิร์กมานานมากแล้ว แต่เขายังคงไ้ด้รับของขวัญจากผู้กำกับเครางามเป็นประจำทุกปีไม่มีขาด
3…2…1…แอ็คชั่น!
เขาหลงใหลในศิลปะการต่อสู้ เขาช่ืนชอบเฉินหลง และหงจินเป่า ซึ่งเป็นปรมาจารย์ด้านคิวบู๊ด้วยกันทั้งคู่
หลังเรียนจบเขาเลือกที่จะทำงานเบื้องหลังหนังทั้งในอเมริกา ฮ่องกง และอีกหลายประเทศ ในตำแหน่งผู้ช่วยออกแบบคิวบู๊ และผู้ช่วยผู้กำกับ ทำให้เขาเรียนรู้ความแตกต่างในด้านคิวบู๊ระหว่างหนังแอ็กชั่นฮอลลีวู้ดกับหนังแอ็กชั่นฮ่องกง
“หนังแอ็คชั่นฮอลลีวู้ดจะออกแบบคิวบู๊ไว้ล่วงหน้า เวลาถ่ายทำจึงเป๊ะมาก ส่วนหนังแอ็คชั่นฮ่องกงจะออกแบบไปถ่ายไป จึงได้ความสดใหม่ มีความสมจริงและมีความคิดสร้างสรรค์กว่า” เขาเคยกล่าวถึงเรื่องนี้กับสื่อแห่งหนึ่ง
ซึ่งเขาได้รับเอาเทคนิกและธรรมเนียมปฏิบัติจากหนังแอ็คชั่นฮ่องกง มาใช้ใน Everything Everywhere All At Once เขายืนกรานว่าจะต้องมีการเซ่นไหว้ด้วยหมูหันในวันเปิดกล้อง และทุกครั้งที่มีฉากนักแสดงถูกยิงตาย เขาจะต้องเช็คดูให้รู้แน่ว่านักแสดงคนนั้นได้รับอั่งเปา
เป็นเพราะกระแสเอเชียจากหนังเรื่อง Crazy Rich Asians ที่ออกฉายทั่วโลก เขาจึงตัดสินใจรับงานแสดงอีกครั้งในวัยเฉียด 50

Everything Everywhere All At Once เป็นงานแสดงเรื่องที่ 2 ในรอบ 20 ปี หลังจากเรื่องแรก Finding ‘Ohana ที่เขาแสดงออกฉายทาง Netflix
ตอนที่เขาได้รับบทหนัง Everything Everywhere All At Once ซึ่งเป็นส่วนผสมของหนังอินดี้ดรามาเกี่ยวกับครอบครัวผู้อพยพ กับพนังแอ็คชั่นไซไฟซูเปอร์ฮีโร่ผจญภัยหลุดโลก
แม้ว่าเขาจะรับบทเป็นเวย์มอนด์ หวัง สามีของมิเชล โหย่ว ในเรื่อง Everything Everywhere All At Once แต่เขาก็ไม่กล้าแพร่งพรายให้ใครรู้ แม้กระทั่งครอบครัวของตัวเอง นอกจากภรรยา ตัวแทนเขา และทนาย เจฟ โคเฮน เพราะกลัวว่าตัวเองจะหน้าแตก เนื่องจากถูกไล่ออกหลังจากเปิดกล้องได้แค่สัปดาห์เดียว
ด้วยความดังของหนังบวกกับกระแสเอเชียที่กำลังมาแรง ทำให้หนังได้รางวัลออสการ์ครั้งที่ 95 ถึง 7 สาขาด้วยกัน

เขาได้รับออสการ์ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม มิเชล โหย่ว กลายเป็นชาวเอเชียคนแรกที่ได้รับออสการ์ในสาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม รวมทั้งสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม โดยที่ก่อนหน้านี้เขาไ้ด้รับรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 80 ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากหนังเรื่องเดียวกันนี้มาแล้ว
ในการขึ้นรับรางวัลอออสการ์ เขากล่าวขอบคุณมารดาพร้อมทั้งน้ำตาด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง
“ขอบคุณแม่ที่ต้องเสียสละอย่างมาก เพื่อให้ผมมาจนถึง ณ จุดนี้ได้ ขอบคุณภรรยาสุดที่รักและน้องชายของผม ที่พร่ำบอกผมเสมอมาตลอดระยะเวลายี่สิบปีว่า จะต้องมีวันของผม แม้ว่าผมเกือบจะล้มเลิกความหวังและความฝันที่ผมเชื่อมาโดยตลอดก็ตาม
“ผมอยากบอกพวกคุณทั้งหลายว่า ได้โปรดเขื่อมั่นในความฝันของตัวเองเถอะ ขอบคุณที่ต้อนรับการมาของผม ผมรักพวกคุณทุกคน”