Home > Education > Interviews > Talent > ย้อนชีวิตวัยเรียนของ ‘พี – ไตเติ้ล’ สองนักแสดงดาวรุ่งจาก LA PLUIE THE SERIES

แม้ว่าซีรีย์จบไปสักพักแล้ว แต่ยังมีแฟน ๆ คอยติดตามอยู่ไม่น้อย สำหรับสองนักแสดงดาวรุ่งจาก ‘LA PLUIE THE SERIES ฝนตกครั้งนั้นฉันรักเธอ’ อย่าง พี – พีรวิชญ์ พลอยนำพล และ ไตเติ้ล – ธนธร เสนางคนิกร ซึ่งที่ผ่านมา ทั้งคู่มีโอกาสอวดฝีมือการแสดงผ่านบทบาทนักศึกษาให้เห็นกันมาบ้างแล้ว ส่วนในชีวิตจริงเวลาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยจะเป็นอย่างไร HELLO! Education มีบทสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟถึงเส้นทางการเรียนของทั้งคู่มาให้ติดตามกันค่ะ

พี - ไตเติ้ล
พี – ไตเติ้ล

นักเรียนไทย X นักเรียนนอก

“ผมเรียนม.ปลายที่โรงเรียนเอกชนในสามพราน นครปฐม ที่สนใจจะเรียนนิเทศฯ เพราะตอนนั้นเริ่มสนใจวงการบันเทิง มีโมเดลลิ่งมาติดต่อ ได้ไปแคสต์งาน และผมชอบดู behind the scene ดูแล้วเพลิน แต่อีกใจก็เห็นว่านักแสดงหลายคนเขาก็ไม่ได้เรียนนิเทศฯ กันมา และทำอาชีพอื่นเป็นหลัก เลยคิดว่าลองดูวิชาชีพอื่นแล้วทำงานบันเทิงเป็นงานอดิเรกไปด้วยก็ได้” คุณพีเล่าถึงช่วงเรียนมัธยมปลายก่อนเรียนต่อมหาวิทยาลัย ซึ่งมีสองเส้นทางให้ตัดสินใจคือเรียนนิเทศศาสตร์เพราะมีความสนใจในอุตสาหกรรมบันเทิง แต่อีกใจก็เอนเอียงให้กับสายสุขภาพ เพราะมีแรงบันดาลใจคือน้องชายซึ่งเป็นเด็กพิเศษที่เขาอยากดูแล 

คุณไตเติ้ลเกิดและโตที่หาดใหญ่ หลังจบชั้นประถมก็ลุยเดี่ยวไปเรียนมัธยมที่โรงเรียนเซนต์ ฟรานซิส เมโธดิสต์ ประเทศสิงคโปร์ “คุณพ่อบอกตั้งแต่เรียนป.4 แล้วว่า จะให้ไปเรียน เพราะคุณพ่อมีเพื่อนอยู่ที่นั่นเยอะ ผมก็ย้ำมาตลอดตั้งแต่ป.4 จนถึงป.6 ว่ายังไงก็ไม่ไป แต่ตอนนั้นยอมไปเพราะเรายังไม่มีสมาร์ตโฟน (หัวเราะ) ไปถึงตอนแรกร้องไห้ทุกวัน ภาษาอังกฤษก็เข้าใจศัพท์แค่บางคำ พูดทั้งประโยคไม่ได้ ต้องไปเรียนภาษาหนึ่งปีเต็มเพื่อเตรียมตัวก่อนเข้าโรงเรียน แล้วผมก็คิดถึงเพื่อน คิดถึงคุณแม่ ผมเป็นเด็กติดแม่มากในตอนนั้น” คุณไตเติลเล่า ซึ่งเจ้าใช้ชีวิตนักเรียนมัธยมในที่สิงคโปร์รวมกว่า 5 ปี โดยอาศัยกับการ์เดียนชาวสิงคโปร์ ในหอพักซึ่งมีเด็กต่างชาติจากหลายที่มา พร้อมกับบอกว่า “คนไทยที่นั่นส่วนใหญ่จะสนิทกับคนอินโดฯ มาก ผมก็สนิทกับเพื่อนอินโดฯ ทั้งที่หอและที่โรงเรียน”

ส่วนเรื่องปัญหาและอุปสรรคในการเรียน เจ้าตัวบอกว่า “การเรียนยากตรงที่เป็นศัพท์อังกฤษล้วน ถึงเราจะเรียนภาษามาแล้วแต่บางวิชาก็มีศัพท์เฉพาะ เราก็ต้องปรับตัวให้ได้ แล้วผมเป็นคนที่เรียนในโรงเรียนไม่พอ ต้องไปเรียนกับติวเตอร์อีกเพราะอยากมั่นใจว่าสิ่งที่เราเข้าใจเราเข้าใจมันจริงหรือเปล่า การเรียนของผม ถ้าวิชาไหนดีก็ดีไปเลย ได้ A อย่างคณิตศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ ถ้าไม่ดีก็ F เลย อย่างวิชาชีววิทยา แย่มาก สมองไม่รับเลย ส่วนการสอบก็เหมือนเมืองไทย คือมีมิดเทอมกับไฟนอล คะแนนไฟนอล 40 เปอร์เซ็นต์ มิดเทอม 30 เปอร์เซ็นต์ แล้วคะแนนเข้าเรียนอีก 30 เปอร์เซ็นต์”

พี - ไตเติ้ล

ฉุกเฉินการแพทย์ X วิศวะฯ

ระหว่างที่มองหาคณะที่เหมาะกับตัวเอง ดูเหมือนโอกาสจะเป็นใจให้คุณพี เพราะในเวลานั้น คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดรับนักศึกษาสาขาวิชาปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ หลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต เพิ่มเติมหลังรอบแอดมิชชั่น  “ตอนนั้นสาขานี้เพิ่งเปิดได้ปีเดียว ผมเป็นรุ่นที่สอง เขาเปิดรับเพิ่ม 4 คน ผมยื่นสมัครเพราะเกรดถึง วันสัมภาษณ์ผมตั้งใจทำสไลด์ ซ้อมพูดหน้ากระจกเพื่อพรีเซนต์ภายในห้านาที เล่าถึงแพสชั่นที่ทำให้ผมอยากเป็นนักฉุกเฉินการแพทย์ สุดท้ายก็ติด และเขาเพิ่มโควตาเป็น 7 คน อาจารย์บอกว่าปีนั้นมีคนน่าสนใจหลายคน ทั้งสาขามี 35 คน ผมเป็นคนที่ 34” คุณพีเล่า

ก่อนเสริมว่า สาขานี้ไม่ได้รับเฉพาะวุฒิมัธยมปลาย แต่เปิดประตูให้คนที่ทำงานกู้ชีพหรือกู้ภัยมาก่อน สามารถสอบเข้าเรียนเพื่อเป็นนักฉุกเฉินการแพทย์ได้เช่นกัน “เป็นหลักสูตรสี่ปี การเรียนพื้นฐานจะเหมือนกับเรียนแพทย์เลย แต่ไม่ลึกเท่าแพทย์ ได้เรียนกับอาจารย์ใหญ่เพื่อเรียนกายวิภาคแต่ไม่ได้ผ่า แต่พอชั้นคลินิกเราเรียนเรื่องฉุกเฉินเหมือนแพทย์ เป็นการเรียนกู้ชีพขั้นสูง”

“ผมเริ่มออกไปกับรถฉุกเฉินตั้งแต่เรียนปีสอง เป็นวิชาเลือกให้เราออกไปนอกสถานที่ ผมอยากรู้ว่าก่อนที่จะเป็นขั้นแอดวานซ์ส่งโรงพยาบาล พี่ ๆ มูลนิธิเขาทำงานยังไง เราจะชอบมั้ย ไปเทสต์ตัวเองดู ไปกับมูลนิธิที่กาญจนบุรี โอ้โห!!บู๊หนักกว่าโรงพยาบาลอีก (หัวเราะ) เราก็ไปเป็นผู้ช่วย ไปจับงู ไปทำแผลนักเรียนรถล้ม แต่มันเป็นการตอบตัวเองได้ว่าสนุก เราเลือกถูกแล้ว” หนุ่มนักฉุกเฉินการแพทย์เล่า

“วันที่ผมจำได้แม่นยำ คือวันฝึกงานวันสุดท้ายของการเรียนปีสี่ ที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช คือฝึกงานวันนี้แล้วจบเลย เป็นวันที่รับสี่เคสต่อกันในกะเดียวคือแปดชั่วโมง เคสสุดท้ายมาตอนใกล้จะลงเวรแล้ว คนไข้มีภาวะหนัก หัวใจหยุดเต้น แล้วเราสามารถกู้หัวใจที่หยุดเต้นของเขา จากไม่มีชีพจรแล้วให้กลับมามีชีพจรอีกครั้ง มันเป็นวันที่อิ่มเอมไปด้วยมวลความสุขต่าง ๆ ทั้งการได้ทำงาน การได้อยู่กับพี่ ๆ ที่เราสนิท ทุกอย่างในวันนั้นมัน fulfill เรา เป็น best day ของเรา

ทุกเคสที่เข้ามาคือความประทับใจ บางเคสคนไข้เหนื่อยหอบ รู้สึกไม่สบายอะไรมา เราไปรับแล้วทำให้เขาหาย หรือเคสน้ำตาลตก ปลุกไม่ตื่น เราไปถึงบ้านเขา ให้ยาตัวเดียวหรือสองตัวแล้วเขาตื่นขึ้นมาเป็นปกติ เราภูมิใจเหมือนกันหมดไม่ว่าเคสนั้นจะยากหรือง่าย”

พี – พีรวิชญ์ พลอยนำพล

หลังจากไปเรียนที่สิงคโปร์ (โดยแลกมากับการได้สมาร์ตโฟนและโน้ตบุ๊ก) ทำให้คุณไตเติ้ลมีกลุ่มสังคมเป็นของตัวเอง และอยากเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่สิงคโปร์หรืออังกฤษตามเพื่อน ๆ แต่ด้านคุณพ่อที่ตอนแรกอยากให้ไปเรียนต่างประเทศ กลับอยากให้มาต่อมหาวิทยาลัยที่ประเทศไทยจะได้มีสังคมกับคนไทยบ้าง เป็นเหตุให้คุณไตเติ้ลได้เข้าเรียนสาขาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ โดยใช้คะแนน O-Level จากสิงคโปร์ยื่นสมัคร

“เพราะคะแนนได้แล้ว เลยไม่ต้องเรียน A-Level อีกสองปี ผม fast track เข้ามหาวิทยาลัยเลยเพราะไม่อยากเสียเวลา และการได้เรียนพื้นฐานตอนปี 1 ทำให้เรารู้ว่าเราชอบเคมีมากกว่าไฟฟ้า และเป็นวิชาที่ผมเรียนได้ดีที่สุดในสายวิทย์ตั้งแต่มัธยม และเกรดเราก็ถึง” คุณพีเล่าถึงการย้ายจากโรงเรียนมัธยมในสิงคโปร์มาเรียนที่ประเทศไทย พร้อมบอกถึงมุมมองต่อสายการเรียนวิศวกรรมศาสตร์ “ก่อนเรียนผมก็คิดว่าเราต้องอยู่ในห้องแล็บ แต่ความจริงวิศวกรรมเคมีจะต่างจากนักวิทยาศาสตร์สายเคมี การทดลองการผสมสูตรเป็นสเกลเล็กมาก ๆ สูตรเคมีหนึ่งสูตร กับประโยคแค่สองประโยค เราสามารถคำนวณออกมาได้เป็นสองหน้ากระดาษเลย เป็นความท้าทายมากในการผ่านตรงนั้นมาได้”

“วิศวกรเคมีเป็นสายงานที่โรงงานอุตสาหกรรมต้องการ และสามารถไปต่อด้านธุรกิจได้ง่าย ตอนเรียนผมได้ฝึกงานในห้องแล็บของมหาวิทยาลัย ที่บริษัทต่าง ๆ เวลามีโปรเจ็กต์ก็จะขอให้แล็บนี้ช่วยคิดสูตรเคมีให้ เป็นแล็บที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง ได้รางวัลมาเยอะ ผมเข้าแล็บตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงหกโมงเย็น บางวันก็โอเวอร์ไทม์ไปถึงสามสี่ทุ่ม เวลาทำงานผมจะชอบอยู่ข้าง ๆ พี่หัวหน้าแล็บที่สนิทกัน คอยดูว่าเขาทำยังไง เขาก็ช่วยสอน ทำให้ผมได้เรียนรู้จากตรงนั้น เวลาที่เขามีอบรมการใช้เครื่องมือผมไม่ต้องอบรมแล้ว เพราะได้ลองใช้กับพี่ ๆ แล้ว”

พี - ไตเติ้ล

จากรั้วมหาวิทยาลัยสู่วงการบันเทิง

ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัย คุณพีอยู่ในสังกัดโมเดลลิ่งและมีผลงานในวงการบันเทิงอยู่บ้างแล้ว จากงานถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา กระทั่งระหว่างกำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 เส้นทางสู่วงการก็ผ่านเข้ามาด้วยผลงานเรื่องแรก ‘YYY มันเว่อร์นะ’ และอื่น ๆ จนล่าสุด La Pluie The Series ที่รับบทนำคู่กับคุณไตเติ้ล-ธนธร เสนางคนิกร

“อาจารย์ก็เข้าใจ เขาคงมองว่าถ้าเรามีชื่อเสียงขึ้นก็จะได้ช่วยโปรโมตและเผยแพร่ความรู้ต่างๆ ให้กับประชาชนได้ อย่างเรื่องการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เรื่องซีพีอาร์ ตอนนี้มีคลิปที่ผมสอนซีพีอาร์เต็มยูทูบเลย รู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์” เขาเล่าพลางยิ้มเมื่อนึกถึงช่วงเวลาและประสบการณ์ที่ได้รับก่อนเรียนจบ 

ความโชคดีของคุณพี คือการได้ทำงานที่รักและสนใจควบคู่ไปด้วยกัน ตั้งแต่วันที่ยังเรียนมหาวิทยาลัย จนปัจจุบันที่เขาเรียนจบแล้ว เขาก็ยังคงเลือกที่จะทำทั้งสองอย่างโดยไม่คิดวางมือจากด้านใดด้านหนึ่ง ที่สำคัญคืองานของเขาไม่เพียงเติมเต็มความสุขให้ตัวเอง แต่ยังมอบความสุขให้คนอื่นด้วย ทั้งผู้ชมที่ติดตามงานแสดง และคนไข้ที่เขาได้ช่วยเหลือในภาวะฉุกเฉิน คุณพีเล่าถึงภารกิจของนักฉุกเฉินการแพทย์เพิ่มเติมว่า  “การทำงานของเราจะแบ่งออกเป็นสามกะ กะละแปดชั่วโมง คือเวรเช้า บ่าย ดึก หน้าที่ของเราจะมีทั้งที่ออกไปกับรถ และอยู่ที่ศูนย์สั่งการ ซึ่งเวลามีเหตุฉุกเฉิน คนโทรเข้า 1669 จะไปติดที่ศูนย์ใหญ่คือกรุงเทพฯ ศูนย์ใหญ่จะดูว่าเกิดเหตุใกล้กับโรงพยาบาลไหน ก็จะจ่ายงานตามโรงพยาบาลนั้น”

“เราต้องมีความพร้อมตลอดเวลา ไปช้าหนึ่งนาทีสองนาทีอาจจะปั๊มหัวใจไม่ขึ้นแล้วก็ได้ กลับกันถ้าเราไปเร็วคนไข้ก็รอด หรือทำยังไงถ้าหากคนไข้ไม่กลับมา เราก็ต้องคุยกับญาติ เพราะอาจจะมีเรื่องโรคประจำตัวต่างๆ หรืออาการที่หนักเกินไป สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผมคือความกดดัน เพราะมันคือความเป็นความตาย ทุกวันนี้ผมก็ยังตื่นเต้นอยู่ เพราะประสบการณ์เรายังไม่ได้เยอะ แต่เราก็ต้องพยายามรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด”

ส่วนการทำงานบันเทิงควบคู่ไปด้วย ทำให้คุณพีต้องจัดสรรเวลาให้ลงตัว เพื่อที่จะได้ทำงานที่รักไปพร้อมกันได้ “ทุกวันนี้ที่ผมขึ้นเวรจะเป็นพาร์ตไทม์ ผมเลือกขึ้นสองหรือสามเวรแล้วแต่สัปดาห์ ถ้ามีงานในวงการติดต่อมาก็จะหาคิวที่ไม่ชนกับวันที่ต้องขึ้นเวร ถ้าคิวชนกันจริง ๆ เลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องแลกเวรหรือขายเวรกับเพื่อน”

“ในอนาคตอาจมีช่วงเวลาที่มีเหตุให้ต้องลดหน้าที่หนึ่งเพื่อไปโฟกัสอีกหน้าที่หนึ่งมากขึ้น แต่ผมคิดว่ายังไงก็จะทำสองวิชาชีพนี้ควบคู่กันไป อยากให้ตัวเองมีความสุขโดยที่ยังสามารถทำทั้งสองงานนี้ไปด้วยกันได้ เหมือนกับที่ทำอยู่ตอนนี้”

พี - ไตเติ้ล

ช่วงที่ยังเป็นนักศึกษาปี 1 กิจกรรมที่สืบเนื่องกันมาเป็นประเพณีคือนักศึกษาวิศวะกับวารสารจะมีงานสังสรรค์กัน เดือนวิศวะจะได้พบปะกับดาววารสาร ในปีนั้นเองที่หน้าตาและบุคลิกของคุณไตเติ้ลเข้าตาแมวมอง และชักชวนเขาเข้าสู่วงการบันเทิง “คิดในใจว่าเขาจะมาหลอกอะไรเราหรือเปล่า (หัวเราะ) เพราะสมัยนั้นมีข่าวเรื่องคนโดนหลอกเข้าวงการเยอะ สุดท้ายก็ลองทำดู แต่ยังไม่ได้คิดจริงจังในตอนนั้น”

สองปีแรกไม่ผ่านเลย รู้สึกท้อว่าคงไม่มีพื้นที่สำหรับเราในวงการแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้โฟกัสมาก ตัวเองจะโฟกัสกับสิ่งที่เป็นไปได้มากกว่า นั่นก็คือเรื่องเรียน แต่พอเข้าปีสาม ผมก็ได้งานเรื่องแรกคือ TharnType The Series ซีซั่นสอง เรื่องนี้กระแสค่อนข้างดี ทำให้เรามีกำลังใจในการทำงานวงการนี้ขึ้นมา”

ไตเติ้ล – ธนธร เสนางคนิกร

“พอทำงานด้วย การเรียนของผมก็ไม่ชิลล์ละ (หัวเราะ) เพราะต้องจัดการเรื่องเวลา แล้วปีสามผมเป็นเชียร์ลีดเดอร์ด้วย เลิกเรียนที่รังสิตสี่โมงครึ่ง ต้องไปซ้อมลีดที่ท่าพระจันทร์ให้ทันห้าโมงครึ่ง เป็นช่วงที่เรียนหนักมาก แต่สนุกมาก อะไรเข้ามาเราก็เปิดรับหมด เหนื่อยก็ยอม แต่มันทำให้ผมขาดคะแนนเช็กชื่อไป เลยต้องทำพรีเซนต์เพิ่มเพื่อแลกกับคะแนนส่วนที่เหลือ ก็เป็นทางออกที่แฟร์กับคนอื่นที่อาจารย์แนะวิธีให้”

นอกจากเรียนในคลาส ซ้อมลีดของมหาวิทยาลัย คุณไตเติ้ลยังต้องเรียนการแสดงควบคู่ไปด้วย โดยมีครูร่ม-ร่มฉัตร ธนาลาภพิพัฒน์ ทำเวิร์คช็อปเรื่อง TharnType ให้ และ ‘ครูลูกแก้ว-วริศรา บำรุงเวช’ สอนพื้นฐานการแสดง ส่วน ‘คุณชายอดัม’ (ม.ล.เฉลิมชาตรี ยุคล) มาเจาะลึกเรื่องการแสดง รวมทั้งวิเคราะห์และตีความภาพยนตร์ด้วยกัน

คุณไตเติ้ลเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว  แน่นอนว่าการเรียนต่อปริญญาโทยังอยู่ในแผนที่วางไว้ แต่ระหว่างนี้ขอเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากงานในวงการก่อน “ตอนนี้งานหลักคือนักแสดง เรื่องเรียนโทยังไม่รู้เมื่อไร คิดว่าจะเรียนด้าน MBA และอยากไปเรียนต่างประเทศ จากไลฟ์สไตล์ที่ดูมาคิดว่าอังกฤษน่าจะเหมาะกับเรา แต่ยังไม่รีบ อายุสามสิบก็ยังเรียนได้ เพราะอยากโฟกัสกับงานแสดงก่อน ขอทำสิ่งที่ชอบไปจนรู้สึกพอหรืออิ่มตัว แล้วค่อยไปเริ่มกับเส้นทางใหม่” คุณไตเติ้ลกล่าวปิดท้าย.

Never miss an update

Subscribe to our newsletter to get the latest updates.

No Thanks
You’re all set

Thank you for your subscription.