เจฟฟรี ปางพุฒิพงศ์ นักศึกษาชั้นปี 3 ของ Central Saint Martins, University of The Arts London สร้างสรรค์ผลงานอันน่าทึ่งจนได้รับเลือกจาก คริสเตียน ลูบูแตง ดีไซเนอร์รองเท้าชื่อดัง ให้บินจากลอนดอนไปฝึกงานที่สำนักงานของลูบูแต็งในปารีส ประเทศฝรั่งเศส ทายสิว่าคริสเตียน ลูบูแตง มองเห็นอะไรในตัวเขา…
คุณเจฟเริ่มต้นชีวิตนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลที่โรงเรียนทอสี ชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ต่อด้วยโรงเรียนนานาชาติบางกอกเพรพ (Bangkok International Preparatory & Secondary School) เป็นเวลา 6 ปี ก่อนเข้าศึกษาระดับปริญญาตรี ด้าน Fashion Communication ที่ Central Saint Martins ที่ ณ เวลานี้ใกล้จบการศึกษาจากสถาบันชื่อดังในอีกไม่นานเกินรอ
“เจฟชอบวาดรูปตั้งแต่เด็กๆ จำได้ว่าชอบวาดหน้าผู้หญิง ตาโตๆ ผมยาวๆ” คุณเจฟเล่า ก่อนที่คุณแม่ (สาวิตรี ปางพุฒิพงศ์)จะเสริมว่า “ตอนเด็กๆ ครูวิไลที่เป็นอาจารย์อยู่ที่สาธิตประสานมิตรบอกกับแม่ว่า เจฟเป็นเด็กอาร์ตมาก ช่วงเวลาพักเขาจะเด็ดดอกไม้มาเสียบตรงรังดุม แล้วเวลาตอบคำถามในข้อสอบก็จะตอบด้วยการวาดรูป ซึ่งครูก็ช่วยเชียร์ไปกับเรา ว่าเจฟต้องไปทางสายศิลปะแน่นอน”
คุณเจฟเสริมว่า“ในเวลาเดียวกันเราก็เป็นเด็กที่ชอบบาร์บี้มาก ซึ่งบาร์บี้ให้แรงบันดาลใจเราเยอะเหมือนกัน ตอนเด็กๆเคยมีเป็นร้อยตัว เพราะคุณพ่อไม่เคยขวาง แถมยังซื้อให้เล่นด้วย และจะชอบวาดรูปบาร์บี้มาก ว่างๆก็จะร้องเพลงดีสนีย์กับญาติอย่างซินเดอเรลลา เพราะเราชอบการ์ตูนดีสนีย์ยุคที่ยังคงวาดด้วยมือ เมื่อก่อนจะดูการ์ตูนพวกนี้เพื่อสร้างมู้ด ตามประสาคนชอบเพ้อฝัน ฝันไปเรื่อยๆ ชอบจินตนาการ”
คุณเจฟพัฒนาฝีมือด้วยการไปเรียนศิลปะกับครูโต (ม.ล.จิราธร จิรประวัติ และครูปาน (สมนึก คลังนอก) เขาบอกว่าเป็นการเรียนศิลปะที่มีความสุขและถูกจริตมาก เพราะว่าครูโตเป็นทั้งอาร์ตและเป็นทั้งแฟชั่น ครูเข้าใจแฟชั่นและชอบแฟชั่นเหมือนกัน ซึ่งครูจะสอนทั้งการใช้สี สอนให้เราใช้จินตนาการ ด้วยการฝันแบบเกินจริง ใช้วิธีเพิ่มหรือเสริมให้ดูมีสไตล์ขึ้นโดยไม่เน้นความเหมือนจริง อย่างสีเหลืองก็เติมเฉด Yellow Oak จะได้ไม่เหลืองอ๋อย
ความชัดเจนในความชอบศิลปะและแฟชั่นบวกกับการได้เรียนที่โรงเรียนบางกอกเพรพ ซึ่งเป็นการศึกษาระบบอังกฤษนำคุณเจฟสู่การเรียน ด้าน Fashion Communication ที่ Central Saint Martins, University of The Arts London “สาขาที่เราเลือกเรียนเป็นสาขาเกี่ยวกับสื่อแฟชั่น ที่เรียนแล้วต้องทำได้ทุกอย่าง ทั้งถ่ายรูป วาดภาพ ถ่ายหนัง และทุกอย่างที่สามารถผลิตออกมาเป็นสื่อ ส่วนเหตุผลที่ไม่เลือกเรียนแฟชั่นดีไซน์ เพราะเจฟรู้สึกว่าชอบการทำงานศิลปะมากกว่าเป็นดีไซเนอร์ แล้ววิชาที่เรียนก็เหมาะกับเราเพราะมีส่วนผสมครึ่งหนึ่งเป็นแฟชั่น ครึ่งหนึ่งเป็นกราฟิกดีไซน์ เจฟมองว่า ถ้าเรียนแฟชั่นคอมมูนิเคชั่น จบกลับมาเราสามารถทำงานได้หลายแขนงหลายวิชาชีพ
ปีที่ 3 ของชีวิตการเรียนในลอนดอน เป็นช่วงเวลาที่นักศึกษาของแผนกแฟชั่นคอมมูนิเคชั่นต้องออกไปฝึกงานเพื่อหาประสบการณ์ สำหรับคุณเจฟจุดหมายปลายทางของเขาอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยมีจุดเริ่มต้นจากการที่คริสเตียน ลูบูแตงมองหานักศึกษาฝึกงาน ด้วยการให้นักศึกษาลองนำเสนอโปรเจ็กต์ ซึ่งต่อมาเป็นโอกาสให้คุณเจฟได้ทำงานชิ้นสำคัญ ขณะที่เพื่อนๆ Central Saint Martins ส่วนใหญ่ได้ฝึกงานกับนิตยสารต่างๆ และแบรนด์ดังในกรุงลอนดอน
“ตอนที่คริสเตียน ลูบูแตงมาที่มหาวิทยาลัย เราไม่ได้เครียดมาก แต่ถ้าเกิดได้ก็ดี ตอนนั้นเขาอยากได้นักศึกษาฝึกงาน และเขาจะให้ทำวินโดว์ดิสเพลย์ โดยมีโจทย์ว่าเปิดกว้างให้เราทำอะไรก็ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสนใจและสามารถใช้จินตนาการได้ สิ่งที่เราทำคือนำมาปรับแอดติจูดให้เป็นคริสเตียน ลูบูแตง ซึ่งคริสเตียนจะมาเจอเราอยู่สองครั้ง ครั้งแรกมาดูงาน ส่วนครั้งที่สองมาดูไฟนอลโปรเจ็กต์ซึ่งเขาไม่ตอบอะไรเลย แต่สุดท้ายก็บอกว่าให้เจฟมาช่วยงาน และไปได้แค่คนเดียวเท่านั้น ซึ่งเราจะไปช่วยในแผนก Visual Identity ของคริสเตียน ลูบูแตงในปารีส ตรงกับสิ่งที่เราเรียนมาเลย
งานที่โดดเด่นชิ้นนี้ของเขาเล่าเรื่องผู้ชายครึ่งปลาหมึก มีแปดขา ที่ทำให้สามารถใส่รองเท้าได้สี่คู่ มาพร้อมแนวคิดแบบเอเลียน ที่พอคาดเดาได้ว่าเพราะอะไรคริสเตียนจึงชอบผลงานของเขา
ในฐานะนักศึกษาฝึกงาน คุณเจฟบอกว่าความพิเศษอยู่ที่การทำงานที่ไม่ได้แค่อยู่เบื้องหลัง แต่เป็นโอกาสที่ได้ทำงานจริงที่ไม่สามารถหากันได้ง่ายๆ “ในแผนกนี้มีทีมงานแค่ 6 คนที่ต่างคนต่างทำงาน มีหน้าที่ของตัวเอง เจฟมีโอกาสได้ทำทุกส่วนไม่ว่าจะเป็นดีไซน์การ์ด ดีไซน์กล่อง บินไปลอนดอนบ้าง มีโต๊ะทำงานของตัวเอง ส่วนโปร์เจ็ควินโดว์ดิสเพลย์ที่เราออกแบบก่อนเข้ามาทำงาน คริสเตียนชอบ และอนุมัติให้ทำเป็นผลงานที่สามารถปรับให้ย้ายไปอยู่ในร้านได้ กลายเป็นผลงานที่จัดแสดงทั้งในนิวยอร์ มิลาน และทั่วโลก ถือเป็นโอกาสที่ดีมาก เพราะไม่ใช่ทุกคน โดยเฉพาะเด็กฝึกงาน จะมีโอกาสทำ”
“เวลามีงานเข้ามา เราชอบกลับไปดูการ์ตูนดิสนีย์ เพื่อหาแรงบันดาลใจ และจะเริ่มต้นงานจากการสร้างคาแรกเตอร์ เจฟเป็นคนชอบคาแรกเตอร์มาก คือให้มันมีเรื่องราวมาก่อน แล้วค่อยลงรายละเอียดที่ลึกขึ้น ยิ่งเดี๋ยวนี้การรับข่าวสาร การใช้ชีวิตของคนเราเปลี่ยนไป เราต้องมองกว้างๆ ว่า คนเข้าถึงข้อมูลได้มากและง่ายขึ้น จะต้องจับจุดว่าใครที่เป็นผู้ฟังเรา”
เมื่อถามถึงตำแหน่งงานในอนาคตที่มองหาเมื่อเรียนจบ คำตอบคือ การทำงานที่เกี่ยวข้องกับ Art Direction และ Creative Direction ส่วนจุดหมายปลายทางในการทำงานของเขาคือ อีกหนึ่งเมืองแฟชั่นของโลก นั่นคือนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อเรียนรู้วิธีการทำงานที่มีความเป็นนานาชาติกว่า แล้วก็อยากทำงานที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัล เก่งคอมพิวเตอร์เหมือนกัน ไม่ได้ทำแค่วาดดินสอจับพู่กันอย่างเดียว
คุณเจฟยกเครดิตให้กับครอบครัวเสมอ “การสนับสนุนจากครอบครัวสำคัญมาก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ไม่เคยว่าเราเลย และเปิดใจกว้างมากตั้งแต่ตอนเขาซื้อตุ๊กตาร์บาร์บี้มาให้แล้ว ตอนไว้ผมยาวคุณพ่อก็ปล่อย ส่วนเวลาเรียนที่สาธิตประสานมิตร ก็มีแต่เพื่อนผู้หญิง แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็ยังสนับสนุนให้เรียนสิ่งที่ชอบ ในเวลาเดียวกันเจฟโตมากับป้าเล็ก (จันทนา ปางพุฒิพงศ์) อาดาว (ณัฐธยาน์ ปางพุฒิพงศ์) ซึ่งเป็นผู้หญิงที่เปรี้ยวและสวยมาก และมีคาแรกเตอร์ให้แรงบัลดาลใจมากเลยในชีวิต”
…………………………………………………..
ติดตามอ่านเรื่องราวที่สุดของแวดวงการศึกษา ทั้งไทยและต่างประเทศ ได้ใน HELLO! Education 2017
วางแผงแล้วทุกแผงหนังสือชั่นนำทั่วประเทศ
หรือติดตามฉบับดิจิตอลได้ทาง https://shop.burdathailand.com
และ http://www.ookbee.com/Shop/Magazine/HELLOSPECIAL