สถาบันการศึกษาหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งมหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส และอินเดีย ประกาศห้ามนักเรียนใช้ ChatGPT ในการเรียน เนื่องจากเกรงว่านักเรียนจะคัดลอกคำตอบและได้ข้อมูลผิดๆไป
ChatGPT คืออะไร
ChatGPT เป็นแชทบอท AI ที่พัฒนาโดย OpenAI ของ อีลอน มัสก์ ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา โดยรวบรวมข้อมูลมหาศาลในอินเทอร์เน็ต และใช้ Machine Learning มาช่วยด้วย เพื่อให้ได้คำตอบที่ไม่เพียงจะถูกต้องตามความเป็นจริงเท่านั้น แต่ยังคงได้ภาษาที่เป็นธรรมชาติเหมือนมนุษย์เขียน ไม่ใช่เขียนด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์

แต่สิ่งที่ทำให้ChatGPTแตกต่างจาก AI อื่นคือมันสามารถปฏิเสธที่จะตอบคำถาม หากข้อมูลนั้นเป็นอันตราย หรือนำไปสู่กิจกรรมที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ ยังไม่สามารถตอบคำถามที่มีเนื้อหาใหม่กว่าปี 2021 ได้อีกด้วย
เสียงตอบรับจากสถาบันการศึกษา
โรงเรียน และมหาวิทยาลัยในอเมริกาบางแห่ง จึงใช้โปรแกรมตรวจจับ AI อย่าง GPTZero ที่นักศึกษา Princeton University คิดค้นขึ้น เป็นเหตุให้เกิดความโกลาหลในหลายวงการ
Alleyn’s School โรงเรียนเอกชน ที่เซาธ์ลอนดอน ซึ่งอยู่อันดับต้นๆใน Top 30 โรงเรียนที่จัดอันดับโดยหนังสือพิมพ์ The Times of London กำลังปรับรูปแบบการเรียนการสอนแบบไถหน้าจอ (Flipped Learning)
เจน ลันนอน ครูใหญ่ของโรงเรียนกล่าวว่า “ในไม่ช้าการเรียนแบบไถหน้าจอนี้ จะเพิ่มมากขึ้นอีกเมื่อเวลาผ่านไป และการเรียนแบบนี้จะกลายเป็นเป้าหมายสูงสุด แทนที่การทำการบ้าน จะเป็นการทบทวนบทเรียนที่นักเรียนเรียนในห้องเรียน แต่การเรียนแบบไถหน้าจอนี้ จะทำให้นักเรียนเรียนรู้ที่จะตั้งคำถามเพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง”

ทางโรงเรียนยังมีแผนที่จะใช้ ChatGPT ให้มากขึ้น หัวหน้าครูวิชาภาษาอังกฤษของโรงเรียน ได้ลองนำเรียงความที่เขียนด้วย ChatGPT ผ่านการสอบ GCSE วิชาภาษาอังกฤษ ปรากฏว่าได้คะแนน 85% ซึ่งติดอันดับต้นๆ เลยทีเดียว
อานิต้า กาเดมานน์ ผู้อำนวยการ และหัวหน้าแผนกนวัตกรรมของ Institute of Rosenberg โรงเรียนประจำอันหรูหราที่สวิตเซอร์แลนด์ กล่าวกับสื่อมวลชนว่า
“ทางโรงเรียนได้ตระเตรียมการใช้ AI ในการเรียนการสอนมาเป็นเวลานาน 5 ปี ครูที่นี่ รู้ดีว่านักเรียนคนไหนคัดลอกบทความในอินเทอร์เน็ตมาส่งเป็นการบ้าน เพราะครูคุ้นชินกับสไตล์การเขียนและรู้ข้อบกพร่องต่างๆของนักเรียนแต่ละรายอยู่แล้ว เนื่องจากครู 1 คนของเราดูแลนักเรียนเพียง 2 คน จึงสามารถจับโกหกได้”
AI ไม่ใช่ผู้ร้าย
ทั้ง Harvard University และ Yale University ต่างใช้โปรแกรมตรวจจับ AI CHATZero ส่วนสถาบันการศึกษาบางแห่งในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งมหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส และอินเดียก็สั่งห้ามใช้เลย

ขณะที่นักเรียนของ Rosenberg ใช้ AI อยู่ทุกวี่วัน “การค้นหาเด็กที่ใช้ AI ในยุคนี้ ไม่ต่างอะไรจากการค้นหาว่า นักเรียนคนไหนใช้เครื่องคิดเลขทำการบ้านเลขในยุค 80”
การห้ามใช้ AI ในการเรียนจึงเป็นเรื่องเสียเวลาสำหรับครู ตรงกันข้ามทางโรงเรียนจะต้องคอยสร้างกับดักที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เพิ่งจะจับให้ได้ไล่ให้ทันนักเรียนที่ลักลอบใช้ AI ซึ่งเป็นการเสียเวลาและทรัพยากรให้สิ้นเปลืองโดยใข่เหตุ
ตรงกันข้ามครูและบุคลากรทางการศึกษาต่างๆ น่าจะอ้าแขนรับ AI เพื่อช่วยให้นักเรียนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และปรับปรุงทักษะการเขียนได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากเราไม่สามารถห้ามการพัฒนาเทคโนโลยีในยุคดิจิทัลนี้ได้เลย เพราะยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ สู้สนับสนุนให้เด็กสามารถใช้ AI เป็นผู้ช่วยหาความรู้ โดยที่ครูและนักเรียนต่างทดสอบกันและกันจะไม่ดีกว่าหรือ

มีผู้รู้ทำนายว่าต่อไปความรู้จะกลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปโดยสิ้นเชิง แต่ครูที่ดีจะต้องสอนทักษะการเรียนรู้ และปลูกฝังค่านิยมที่ดีและจริยธรรมแก่เด็กแทน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นข้อมูลที่ได้จากChatGPTนี้ส่วนใหญ่ยังผิดพลาดอยู่ ซึ่งนักเรียนต้องใช้ทักษะการคิดวิเคราะห์ในการวิเคราะห์ความถูกต้องของข้อมูล
นอกจากนี้ChatGPTยังช่วยครูประหยัดเวลาในการเตรียมการเรียนการสอน เพราะทุกอย่างอยู่ในChatGPTหมดแล้ว เพียงแต่จะนำการเรียนการสอนอย่างไรให้สนุกและเต็มไปด้วยความรู้เท่าทันเทคโนโลยีอีกด้วย จอน โกลด์ ครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ที่ Moses Brown School บอกว่า
เขาทดลองใช้ChatGPTในการตั้งคำถาม โดยป้อนบทความเกี่ยวกับยูเครน และให้ตั้งคำถามปรนัย 10 ข้อ เพื่อทดสอบความรู้ความเข้าใจบทความ ซึ่งเป็นคำถามที่ใช้การได้อยู่ 6 ข้อ
เด็กรุ่นใหม่จึงควรเรียนรู้การใช้ประโยชน์จาก AI เอาไว้ เพราะโลกในกาลข้างหน้าจะเต็มไปด้วย AI พวกเขาจึงควรศึกษาวิธีการใช้ จุดแข็งจุดอ่อน และข้อดีข้อเสียในการใช้ AI เพราะ AI สามารถเป็นได้ทั้งอาวุธและเครื่องทุ่นแรงที่ทรงประสิทธิภาพ และจะยิ่งทวีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราไม่เรียนรู้เรื่องนี้เอาไว้ก็อาจตกขบวนเทคโนโลยีสายนี้ไปได้