ชูศักดิ์ วิษณุคำรณ
ศิลปินอิสระ
“ภาพ ‘นารายณ์ทรงสุบรรณ’ จิตรกรฝีมือชั้นครูท่านนี้บอกว่า เป็นภาพที่เขียนขึ้นผสมผสานจินตนาการ โดยภาพต้นแบบเป็นภาพที่พระองค์ท่านเสด็จนิวัตพระนคร ผมเขียนรูปนี้โดยผสมจินตนาการ ที่พระองค์ท่านนั่งบนหลังครุฑ เหินหาวบนท้องฟ้า ภาพนี้ต้นแบบที่เขียนครั้งแรก เจ้าของภาพที่ซื้อไปมาขอให้ผมแก้หน้าในหลวงให้ยิ้มเพราะหนาบึ้งมากเหมือนเป็นคนไม่มีความสุข ถ้าผมแก้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ผมได้อธิบายความตั้งใจในการถ่ายทอดความรู้สึกลงไปว่า ‘ลองนึกดูสิ ตอนพระเจ้าอยู่หัวขึ้นครองแผ่นดินครั้งแรก พระองค์แบกแผ่นดินนี้ไว้ 2 บ่า ใครจะสามารถยิ้มได้ พระองค์กำลังคิดและทุกข์ว่าจะครองแผ่นดินนี้โดยธรรมอย่างไรจะดูและประชาชนอย่างไรดังนั้นจึงไม่อาจจะยิ้มได้’ เขาซาบซึ้งใจมากและไม่ขอให้แก้อีกเลย แล้วบอกยังอีกว่าจะใช้ภาพในหลวงภาพนี้เตือนใจตลอดเวลา”
“จากวันนั้นมาจนวันนี้พระองค์ไม่เคยพักผ่อนเลยแม้แต่ทรงประชวรเข้ารักษาพระวรกายที่โรงพยาบาลศิริราชก็ยังสั่งให้จัดห้องทรงงาน กางแผนที่วางบนโต๊ะ ตามงานที่พระองค์สั่ง นี่คือความยิ่งใหญ่ของพระมหากษัตริย์ประเทศไทยที่อาจารย์ชูศักดิ์ได้เขียนภาพเตือนสติคนไทยทั้งประเทศ พระบรมราโชวาททุกบรรทัดล้วนมีคุณค่า ถ้าทุกคนรู้จักนำมาปรับใช้สิ่งที่บอกโดยรูปธรรมคือไม่ต้องทำอะไรมาก ดูความดีที่พระองค์ท่านทำให้เราเห็นทุกวันแล้วทำตาม เป็นลูกที่ดีของพ่อ ต้องรู้ว่าอะไรดีลงมือทำ อะไรไม่ดี ชังคนให้น้อยลง โกรธให้น้อยลง เท่ากับเจริญรอยตามพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ถ้าใครมีสติปัญญาคิดให้ดี ท่านไม่ได้จากเราไปไหน เราจงทำความดีเพื่อตัวเราก็เท่ากับทำความดีเพื่อพระองค์ท่าน เวลาพระองค์ท่านมองมาจากข้างบนเมื่อใด เห็นพวกเราทำความดีท่านจะปลื้มปีติว่า สิ่งที่พระองค์ได้สอนกับลูกหลานไทยไว้ ได้เกิดผลและทุกคนน้อมนำปฏิบัติตาม”
รองศาสตราจารย์ ธณฤษภ์ ทิพย์วารี
ศิลปินและอาจารย์คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
“ที่ผ่านมาในชีวิตวาดภาพในหลวงเยอะมากเพราะเราอยู่ภายใต้ร่มพระบารมีและเราก็เห็นท่านทรงงานมาตั้งแต่เราเด็กๆตั้งแต่ทีวีสีขาวดำที่บ้านจึงประทับใจความเสียสละของพระองค์คุณธรรมทั้งหมดจากพระปฐมบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9ในระหว่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” พระราชกรณียกิจนับจากวันนั้นจนถึงวันที่ 13 ตุลาคม ท่านก็ปฏิบัติอย่างนั้นมาตลอดซึ่งคงหามนุษย์ที่ไหนทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว”
“ข้าพเจ้าในฐานะจิตกรจึงวาดภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ที่แสดงออกถึงความงดงามมั่นคงเปี่ยมไปด้วยพระพุทธบารมี ธรรมะบัลลังกค์ เป็นพระพลังแผ่นดิน โดยใช้โทนสีชมพูซึ่งเป็นสีที่เสริมพระบารมีและการเขียนรูปด้วยเทคนิคเอ็กเพรสชั่นนิสม์แบบพิเศษให้ภาพสื่อสารได้สองระยะ คือถ้าดูรูประยะใกล้จะเห็นโครงสร้างของกล้ามเนื้อแสดงถึงพลังของความเป็นมนุษย์ ถ้าดูระยะไกลทุกอย่างจะดูกลมกลืนและนุ่มนวล ให้เห็นท่านเป็นดั่งสมมติเทพ หากเรารักพระองค์ เราต้องสำนึกและมีพระองค์เป็นแบบอย่างทุกๆโครงการของท่านแท้จริงแล้วเป็นหลักธรรมมะทั้งหมด หากเราเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วปัญหาในโลกก็จะน้อยลง”
วราวุธ ชูแสงทอง
ศิลปินอิสระ
“ผมเกิดมาก็เห็นท่านแล้ว ท่านเป็นบุคคลที่อยู่ในรูปซึ่งอยู่เหนือจากรูปพ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายายของเรา ตอนเด็กๆผมชอบวาดภาพคน ทุกครั้งที่มีวันสำคัญผมมักจะหยิบเอาผ้าใบหรือกระดาษเปล่ามาเพื่อวาดรูปที่ผมคิดว่ามีคุณค่าทางความรู้สึกมากที่สุดนั่นคือรูปของพระเจ้าแผ่นดิน ผมใช้รูปของพระองค์เป็นตัวอย่างจนผมเติบโตและได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจนมาถึงวันนี้ ท่านจึงเปรียบเสมือนเป็นครู เวลาผมจรดปลายดินสอจรดปลายพู่กันลงไปบนพื้นว่างๆผมจะรู้สึกว่าโครงสร้างพระพักตร์ของพระเจ้าอยู่หัวมีมุมที่สวยงามโดยเฉพาะตอนที่ท่านเสด็จฯตามชนบท แสงจากธรรมชาติที่ส่องลงมาทาบพระพักตร์ของท่านสวยงามมากเป็นเสน่ห์สำหรับจิตรกรอย่างผม”
“พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้เสด็จพระราชดำเนินไปทุกที่เพื่อที่จะได้ทรงมองเห็นปัญหาของประชาชนด้วยพระองค์เองเกิดเป็นโครงการในพระราชดำริมากมายที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกลับคืนสู่ประชาชนสู่แผ่นดินถือว่าท่านเป็นผู้สร้างและผู้ให้อย่างแท้จริง ผมจึงได้สร้างผลงานสีน้ำมันบนผ้าใบชื่อ “พระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่9” เป็นรูปในรอบ 20 กว่าปีที่ผมเขียนรูปพระองค์ในลักษณะนี้เพื่อแสดงถึงความสง่างามในฉลองพระองค์เต็มซึ่งถือว่าคือที่สุดแล้วถือเป็นการมีส่วนร่วมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณด้วยการเผยแพร่ความประทับใจหรือความงามที่ศิลปินคนหนึ่งพึงจะทำได้ ผมทำสิ่งที่อยากทำที่สุดก็คือสิ่งนี้”


ชูศิษฐ์ วิจารณ์โจรกิจ
ศิลปินอิสระ
“ตั้งแต่ผมจำความได้ภาพที่ผมเห็นคือภาพองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จเยี่ยมเยือนประชาชนไปทั่วทุกแห่ง เพื่อทรงงานช่วยเหลือและแก้ไขความเดือดร้อนของเหล่าราษฎรพระองค์ท่านทรงเป็นที่รักของทุกๆคนทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อเหล่าพสกนิกรชาวไทยมาอย่างยาวนานกระแสพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่พระองค์ท่านพระราชทานนั้นเปรียบเสมือน ‘ครู’ ที่เป็นสิ่งเตือนใจย้ำสอนให้ผมมองเห็นคุณธรรมในการใช้ชีวิตการเสียสละเพียรทำความดี รวมถึงเป็นแนวทางที่สอนให้ผมมีความขยันและตั้งใจที่จะศึกษาเล่าเรียนเพื่อที่จะได้ทำในสิ่งที่ตนรัก”
“ในด้านการวาดพรอทเทรทโดยส่วนตัวของผมนั้น นอกจากผลงานจะต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยความงดงามแล้ว ยังคงต้องสามารถถ่ายทอดความมีชีวิตลงไปในผลงานชิ้นนั้นๆได้ เช่น การศึกษาการวาดรายละเอียดของพระเนตร พระโอษฐ์และผิวพระพักตร์ที่ต้องการความอิ่มและฉ่ำสี ที่เกิดจากการทับซ้อนของเลเยอร์ รวมถึงการศึกษาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างๆที่แทรกไปด้วยคติความเชื่อจิตวิญญาณแห่งความเป็นไทย ด้วยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นดั่งสมมุติเทพ อีกทั้งแนวความคิดในการสร้างสีสันบรรยากาศของ background ที่สามารถเป็นตัวแทนแห่งสัญลักษณ์ที่จะสื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกในการถ่ายทอดเช่น บรรยากาศแห่งความสง่างาม มั่นคง รองเรือง ความรักความเทิดทูน ตลอดจนความอ่อนไหวที่ส่งผลอยู่ในผลงานของผม ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรพระองค์ท่านจะทรงสถิตอยู่ในใจของผมเสมอ”



อำนาจ คงวารี
ศิลปินและผู้ช่วยศาสตราจารย์ ประจำภาควิชาภาพพิมพ์
คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
“แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระองค์ท่าน ส่วนมากมาจากการประมวลความรู้สึกตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่ได้กำหนดว่าอันนี้เราจะทำเพื่อสิ่งนี้ ไม่ได้เน้นว่าทำไปเพื่ออะไร แค่ทำแล้วเรามีความสุข อย่างชิ้นงานนี้เป็นผลงานภาพพิมพ์หิน (Lithograph) เป็นวิธีการทำภาพพิมพ์แบบโบราณ ใช้แม่พิมพ์ด้วยกระบวนการทับซ้อนให้เกิดเป็นภาพพระองค์ท่านขึ้นมา ผมได้รับแรงบันดาลใจจากกาลเวลาล่วงเลยผ่านจนครบวาระปีที่ 70 แห่งการขึ้นครองราชย์ของพระองค์ ในฐานะราษฎรคนหนึ่ง ซึ่งเกิดบนผืนแผ่นดินไทยได้จดจำคุณงามความดี ความงดงามที่ปรากฏต่อรูปกายผ่านภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ตั้งแต่เริ่มจำความได้ อีกทั้งได้จดจำหลักคำสอนหลักวัตรปฏิบัติ หลักทศพิธราชธรรม ของพระองค์ผ่านโครงการในพระราชดำริ จากพระราชกรณียกิจของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้พึงกระทำ ให้เห็นเป็นแบบอย่างดีที่มาจวบจนถึงปัจจุบัน จากความงดงามที่ปรากฏต่อรูปกาย รวมเป็นหนึ่งกับความงดงามที่พระองค์ได้พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดิน โดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยามและเมื่อกาลเวลาเคลื่อนผ่าน ความงดงามของ ความรักที่พระองค์ทรงมีต่อประชาชาชนได้กระจ่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น จนสร้างความปิติสุขต่อพสกนิกรของพระองค์ทั่วทั้งผืนแผ่นดิน คือถ้าเรารู้จักและรู้สึกกับพระองค์น้อยการมองเห็นภาพนั้นมันก็ไม่ชัดเจน แต่ภาพจะค่อยๆ เข้มขึ้นจนถึงปัจจุบัน นั่นหมายถึงสิ่งที่พระองค์เคยทรงตรัสไว้มันชัดเจนและตราตรึงอยู่ในใจผมแล้ว”
“ความประทับใจที่มีต่อพระองค์ท่านคือเรื่องพระปรีชาสามารถ การปกครองประชาชนคำสอนของพระองค์ที่มักจะใช้วิธีการเปรียบเปรยโดยสอนให้เราคิดเพราะท่านไม่สามารถบอกได้ทุกอย่างพระองค์ทรงชี้นำเมื่อเราคิดได้แล้วเราต้องนำไปปฎิบัติเองผมมีความภูมิใจตรงนี้ว่าพวกเราถูกซึมซับโดยที่ไม่รู้ตัวแล้วเราก็สามารถนำหลักคำสอนเหล่านั้นมาใช้ในชีวิตจได้จริง”