นอกจากความทุ่มเทที่มีให้กับการบริหารธุรกิจครบถ้วนทุกมิติตามแบบฉบับคนบันเทิงรุ่นใหม่ ที่มีส่วนขับเคลื่อนวงการบันเทิงไทยทั้งในบทบาทผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้จัดอิสระ เปิดบริษัทดูแลศิลปินและค่ายเพลง อีกทั้งยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังออริจินัลซีรี่ส์ของ Viu Thailand ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายคอนเทนต์ บริษัท พีซีซีดับเบิลยู โอทีที (ประเทศไทย) จำกัดแล้ว ‘ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล’ หรือ ‘คุณชายอดัม’ ยังได้แบ่งภาคเวลาอีกส่วนหนึ่งทำงานอาสาสมัครลงมือลงแรงช่วยเหลือสังคมในหลายๆ วิกฤติที่เจ้าตัวบอกว่า หากมีโอกาสหรือเหตุการณ์ที่ตัวเขามีความสามารถช่วยเหลือได้ ก็พร้อมทุ่มเทแรงกายแรงใจและแรงทรัพย์
เฉกเช่นเมื่อครั้งที่คุณชายอดัมร่วมระดมพลอาสาสมัครทั้งขาประจำและขาจรนับร้อยชีวิตต่อสู้วิกฤติไวรัสโควิด-19 ที่ไม่เพียงคร่าชีวิตทั้งคนไทยและพลโลกไปมหาศาล แต่ยังสร้างพิษทางเศรษฐกิจในการดำรงชีวิตของคนไทยที่เดือดร้อนกันทั่วประเทศ ผ่านชื่อเพจว่า ‘ต้องรอด Up For Thai’ ด้วยการสร้างโรงครัวและรถอาสาเพื่อแบ่งเบาภาระหนักของสังคมในช่วงที่สถานการณ์เลวร้ายของโควิด-19 กลางปี 2564

“พอโควิด-19 ระบาด เราได้เห็นผู้คนลำบาก ต้องการที่จะเข้าสู่ระบบการรักษา ขณะเดียวกันคนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงก็ยังต้องออกไปทำงานเพื่อให้มีรายได้มาเลี้ยงครอบครัว แต่เมื่อถึงวันที่เขาออกไปไหนไม่ได้แล้วจริงๆ สิ่งที่สำคัญคือเรื่องปากท้อง ซึ่งเราทำเป็นโรงครัวและคลังรับบริจาคที่จะมีซัพพลายและเป็นกระดูกสันหลังให้กับระบบการจัดส่ง โดยในทุกวันเราส่งความช่วยเหลือไปประมาณ 20 – 30 ชุมชน มากกว่า 30 จังหวัดทั่วประเทศ จริงๆ ทั้งหมดที่ทำไม่ได้คิดถึงขั้นอยากจะเปลี่ยนแปลงสังคมไปมากมาย แค่รู้สึกว่าเราจะนิ่งดูดายไม่ได้”
วันนี้ภารกิจ ‘Up For Thai’ ได้ปิดตัวไปหลังแล้วจากขับเคลื่อนช่วยคนไทยไปราวๆ 5 เดือน “แม้หลายๆ คนคิดว่ามันน่าจะเปิดตลอดไป แต่ผมอยากให้เข้าใจว่า การทำอาสาสมัคร คำพูดก็บอกชัดเจนแล้ว ดังนั้นการที่คนคนหนึ่งลุกมาด้วยจิตอาสาในมิชชั่นที่ยาวนานถึง 5 เดือนติดต่อกันกับการทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้าไปจนถึงเที่ยงคืน และด้วยสเกลของภารกิจครั้งนี้มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากๆ แล้ว ทุ่มเทกันมาก สามารถช่วยเหลือประชากรได้ 1 ใน 3 ของประเทศ เมื่อก้าวผ่านวิกฤติตรงนั้นมาแล้ว ก็ต้องจบภารกิจกันไป แล้วส่วนตัวผมก็ไม่ได้คิดว่ามันมาจากแรงผลักของแรงบันดาลใจอะไร เราแค่ทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองที่อยู่ในประเทศที่กำลังประสบภัยพิบัติเท่านั้นเองครับ”

ภายใต้ภารกิจเพื่อชาตินั้น คุณชายอดัมก็ยังขับเคลื่อนตัวเองทำงานสร้างผลงานและความสำเร็จอย่างเป็นที่ประจักษ์อยู่ในแวดวงบันเทิงของโลกยุคดิจิทัล ซึ่งทั้งภาคการทำงานและบริหารธุรกิจกับภาคช่วยเหลือสังคมนั้น เป็นสองสิ่งที่หมุนไปกับเข็มนาฬิกาชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่งและแน่นอนว่าทุกวินาทีล้วนมีความสำคัญ “ผมให้ความสำคัญกับเวลามาก ทุกวินาทีต้องถูกใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า ถามตัวเองเสมอว่าเราจะทำอะไร ได้ประโยชน์ไหม เปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นได้หรือเปล่า ถ้าไม่ก็พยายามจะตัดออกไป แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ดีก็ลงมือทำเลย”

ด้วยความหลงใหลในเสน่ห์ของเวลา จึงไม่แปลกที่เขาจะชื่นชอบนาฬิกาเป็นพิเศษ เพราะไม่เพียงทำหน้าที่บอกเวลา แต่ยังเป็นสิ่งที่สะท้อนตัวตนได้ดีที่สุด “ผมเป็นคนที่ชอบใส่นาฬิกาและศึกษาเรื่องนาฬิกามานาน มองว่านาฬิกาเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถบ่งบอกว่าเรามองสิ่งต่าง ๆ อย่างไร ไม่ใช่แค่ไลฟ์สไตล์ แต่เป็นวิธีการคิดและตัวตนของเราว่าเป็นคนประเภทไหน บางคนอาจมองเป็นแฟชั่น แต่ส่วนตัวคิดว่าเป็นเรื่องของการให้ความสำคัญกับอะไรบางอย่าง อย่างแบรนด์ GRAND SEIKO ในช่วงหลังๆ ผมได้ติดต่อนำมาใช้ในซีรี่ส์ทุกเรื่อง จากที่เคยมีความคิดดั้งเดิมว่า Timepiece ที่ยอดเยี่ยมต้องเป็นฝั่งตะวันตกเพราะอยู่มานาน แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ ผมชัดเจนแล้วว่า นาฬิกา GRAND SEIKO มีความเป็นเพอร์เฟกชั่น เป็นเรือนเวลาที่ดีมากๆ ซึ่งหาได้น้อยหรืออาจจะไม่ได้เลยสำหรับนาฬิกาในโลก”