‘สตาช’ ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่าการฝึกงาน ซึ่งเป็นประโยคติดปากในหมู่เชฟว่า ‘ไปสตาชที่ไหน’ หมายถึงไปฝึกงานโดยไม่รับเงินที่ไหนมาบ้าง เพื่อพัฒนาฝีมือและเพิ่มพูนประสบการณ์ ต้องใช้ทั้ง แพสชั่นและความอดทน ซึ่งเชฟเจย์ แสงสิงแก้ว ยึดถือเป็นหลักในการทำงาน จึงเป็นที่มาของชื่อร้านอาหารน้องใหม่ STAGE ที่เกิดจากการร่วมมือร่วมใจของเชฟอีก 3 คน ที่ผ่านประสบการณ์จากร้านดัง L’Atelier de Joel Robuchon กรุงเทพฯ

ประทับใจกับบรรยากาศของร้านเบื้องหลังบานประตูสีน้ำเงินที่มีโลโก้เป็นรูปกุญแจ หรือจะดูเป็นหมวกเชฟก็ได้ สีน้ำเงินถูกดึงเชื่อมโยงเข้ามาในร้านที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสไตล์ Scandinavian Minimalism ผสานกับ Parisian Chic ในดีเทลต่างๆ ทั้งวอลเปเปอร์ลายสวยที่ไม่มีที่ไหน โคมไฟสีคอปเปอร์ โต๊ะไม้กับเก้าอี้ที่นั่งสบาย รวมแล้วช่วยสร้างความงดงามและสบายตา
มีครัวเปิดที่เป็นเหมือนสเตจให้เชฟได้โชว์ฝีมือการปรุงอาหาร ซึ่งจัดเป็น Tasting Menu มีให้เลือกแบบ 6 และ 9 คอร์ส ในราคาสมเหตุสมผล และเปลี่ยนเมนูทุก 2 เดือน ซึ่งคอนเซปต์แต่ละเมนูไม่เหมือนกันเลย เพื่อให้ลูกค้าได้กลับมาเยือนกันบ่อยๆ และยังคงความเป็น Casual Fine Dining โดยไม่ยึดติดกับการเป็น French Cuisine แต่จะผสมผสานเทคนิคการทำอาหารจากทั่วทุกมุมโลก

การสร้างสรรค์อาหารแต่ละจานจะเริ่มจากวัตถุดิบก่อนโดย 60% ใช้ของอิมพอร์ตชั้นดี เช่น ไข่หอยเม่น คาเวียร์ ทรัฟเฟิล และฟัวกราส์ ครั้งนี้เรา ได้ชิม ‘STAGE Menu 2.5’ ที่ใช้วัตถุดิบจากทะเลและบนบก ชอบมากกับไข่หอยเม่นบนบริออช คำนึงกินเปล่าๆ อีกคำปาดกับซอสชาร์โคลมิโสะที่หอมกลิ่นส้ม เป็นความแตกต่างของรสสัมผัสที่ประทับใจ

Scallop Ceviche เสิร์ฟมาในกล่องโลหะ ได้ความสดชื่นจากมะม่วงสดที่ผสมเครื่องเทศและสมุนไพร จะมีความเผ็ดนิดๆ จากพริกฝรั่งเศสในตอนท้ายๆ สร้างความ ตื่นเต้นได้ดีเชียว

Cured Mackerel ทำได้ดีมากเนื้อปลานุ่มอมเปรี้ยวนิดๆ เมื่อมาพบกับฮอร์สเรดิชที่ทำเป็นไอศกรีม จึงมีความหอมขึ้นจมูก แกล้มกับ Cucumber Compressed จานนี้มีคอมบิเนชั่นที่ลงตัวมากๆ

มาถึงจานนี้ ล็อปสเตอร์ท็อปด้วยสาเกเจลลี่ คุกมากำลังดี สีส้มสวย ก็เริ่มอิ่มแล้ว แต่ก็ยังตื่นเต้นกับฟัวกราส์โรล ด้วยขนมปังบริออช กับพีชแจม เหลือหลายในฝีมือจริงๆ

เมนคอร์สคือเนื้อพิคานย่า ที่ย่างได้นุ่มชุ่มฉ่ำกับข้าวผัดมันเนื้อ อร่อยมาก เพราะเป็นข้าวฮางจากสกลนคร ที่มีเท็กซ์เจอร์ผสมผสานระหว่างข้าวเจ้าและข้าวเหนียวเมื่อนำมาผัดจึงมีรสสัมผัสที่ดีมาก ไม่นิ่มและไม่แข็งเกินไป ได้ความเปรี้ยวจากไวต์แอสพารากัสดอง ต้องยกนิ้วให้เลยกับคอมบิเนชั่นนี้
ยิ่งเมื่อได้ซอมเมอลิเยร์มือหนึ่งมาดูแลเรื่องเครื่องดื่มทั้งไวน์ วิสกี้ และค็อกเทล จึงจบมื้อนี้ได้อย่างสวยๆ นับเป็นมื้ออาหารที่มีความสุขมาก และถ้าเป็นลูกค้าประจำ จะมีห้องส่วนตัวสำหรับดื่มและสูบซิการ์ที่ต้องมีกุญแจดอกสำคัญ เป็นกิมมิก จึงจะเข้าไปได้ ขอบอกว่า ห้องตกแต่งด้วยสไตล์ย้อนยุคได้หรูหรางดงามมาก
ติดตามได้ในนิตยสาร HELLO! ปีที่ 15 ฉบับที่ 06 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563
หรือดาว์นโหลดฉบับดิจิตอลได้ที่ www.ookbee.com , www.shop.burdathailand.com