วันนี้ HELLO! อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ในงานเปิดตัว Royal Osha ลบล้างแบรนด์ ‘โอชา’ ไปอย่างสิ้นเชิงพร้อมชื่อใหม่ ‘รอยัล โอชา’ ที่จะมาพร้อมกับอาหารคอนเซ็ปต์ใหม่ยกเซ็ต โชว์ความว้าวของรสชาติอาหารไทยที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก ‘คุณศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล’ ‘เชฟวิชิต มุกุระ’ และ ‘คุณเกวลิน พิทยานุกุล’ ที่ชิมอาหารมาแล้วจากทั่วทุกมุมในโลก Royal Osha เป็นร้านอาหารไทย Fine Dining ที่ได้รับการแนะนำจาก Michelin Guide ปี 2019 และ 2020

เชฟวิชิต มุกุระ เชฟดีกรี มิชลิน 1 ดาว ในฐานะ Executive Chef ร้าน Royal Osha กล่าว “การนำพาอาหารไทยไปสู่อีกระดับนึง นับเป็นความท้าทายอย่างมาก เพราะอยากให้คนทั่วโลกมองว่าอาหารไทยไม่ใช่เพียงสตรีทฟู้ด แต่เป็นอาหารที่มีความลึกซึ้ง แฝงไปด้วยวัฒนธรรม”
ศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล เจ้าของ ร้านรอยัล กล่าว “Royal Osha เป็นร้านอาหารไทยแห่งแรกที่เป็นลักชัวรี่ ไทย Fine Dinning เราอยากให้ร้านนี้เป็นสถานที่พิเศษของทุกคน สถานที่สำหรับฉลองในโอกาสสำคัญ หรือต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง”
เกวลิน พิทยานุกุล เชฟผู้วิจัยและพัฒนาเมนู และเจ้าของร้านอาหาร Royal Osha กล่าว“เราตั้งใจถ่ายทอดวัฒนธรรม เรื่องราวและวิถีชีวิต การกินอยู่ของคนไทยผ่านการปรุงรสชาติอาหารที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ภายใต้แนวคิด Classic Thai Elegance Reinvented”

เมื่อเดินเข้ามาในร้าน จะเห็นการตกแต่งสไตล์ไทยที่มีความเป็นโมเดิร์น ผสมเข้ากับสถาปัตยกรรมสีทองจากทองคำแท้บริสุทธิ์ นำโลโก้ร้านที่เป็นรูปชฎามาทำเป็น Chandelier ใหญ่อลังการวางอยู่กลางร้านอีกด้วย
Scallop ทอดกับไข่ตุ๋น (ได้รับแรงบันดาลใจจากประเทศลอนดอน)
เมนูแรกเป็นเมนูเรียกน้ำย่อยที่เชฟวิชิตตั้งใจนำเสนอ โดยการผสานความนุ่มละมุนของเนื้อไข่ตุ๋น เคล้ากับกลิ่นหอมของหอยเชลล์ เพิ่มความครีเอทของการจัดจาน โดยเคลือบมันฝรั่งรอบๆไข่ตุ๋นแล้ววางหอยเชลล์ไว้ข้างบน สวยงามตามรูปถ่าย เพิ่มรสชาติที่คุ้นเคยด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรพิเศษของเชฟ

ต้มโคลังปลากรอบกับปลาทูน่า (ได้รับแรงบันดาลใจจากประเทศญี่ปุ่น)
ในจานที่ 2 เชฟวิชิตได้รับแรงบันดาลใจจากน้ำซุปกระดูกหมูราเมนของญี่ปุ่น โดยนำเครื่องต้มโคล้งมาบดกับเนื้อปลา เคี่ยวในน้ำสต็อกปลานานกว่า 6 ชั่วโมง ก่อนจะกรองจนได้น้ำซุปใสรสชาติหอมกลมกล่อม เสริมพร้อมมะนาวและปลากรอบ เชฟแนะนำให้เริ่มกินแบบธรรมดาก่อน หลังจากนั้นค่อยเติมมานาวและผงปลาลงไป รสชาติจะแตกต่างไปจากเดิม เพิ่มมิติในการกินให้ละมุนมากยิ่งขึ้น

แกงกระหรี่ Lobster ทอดกับข้าวทอดแหนมเห็ด (ได้รับแรงบันดาลใจจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์)
มาถึง Main Course กันแล้ว เชฟวิชิตเลือกที่จะนำเสนอเมนูนี้ดจากการคัดสรรค์วัตถุดิบล้ำค่าจากท้องทะเลอย่าง Lobster มาทานคู่กับแกงกะหรี่รสชาติจัดจ้าน หอมเครื่องเทศในแบบฉบับของไทย เสริมพร้อมเครื่องเคียงอย่างหลากหลาย เช่น ข้าวทอด แหนมเห็ด มันเทศ เกี๊ยวกุ้งทอดแกงกะหรี่และข้าวหอมมะลิแดง เมื่อทานทุกอย่างพร้อมๆกันแล้ว เรียกได้ว่ารสชาติเข้ากันได้อย่างน่าเหลือเชื่อเลยค่า

ดอกจอกใบเตยกับหวานเย็นข้าวหมากกับสาเก พร้อมสังขยาน้ำตาลไหม้กับเครื่องเคียง
ตบท้ายด้วยเมนูของหวานที่ทางร้าน Royal Osha จัดเตรียมไว้ทั้งหมด 3 อย่างด้วยกัน ขนมอย่างแรกกินคือขนมดอกจอก มีความหวานๆ เค็มๆ ทานคู่กับหวานเย็นข้าวหมาก มีซอสสาเกยูสุ มาตัดรสชาติ เพิ่มรสชาติหวานด้วยฝอยทอง เป็นขนมหวานที่มีรวชาติและ Texture กรอบๆ กินได้เพลินๆ ปิดท้ายด้วยสังขยาเนื้อเนียนหวานกำลังดี เคล้ากลิ่นหอมของน้ำตาลไหม้ จัดว่าเป็นจานปิดท้ายที่สมบูรณ์แบบมากค่า

