ด้วยบรรยากาศและมนต์เสน่ห์เฉพาะตัว ทำให้ ‘โอมากาเสะ’ เป็นศิลปะการทำอาหารอีกหนึ่งแขนงที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เช่นเดียวกับในประเทศไทยที่มีหลายคนชื่นชอบดื่มด่ำสุนทรียภาพด้านอาหารไปกับโอมากาเสะ และไม่นานมานี้เพิ่งมีร้านระดับ มิชลิน 2 ดาว จากคิวชู อย่าง Nikaku Bangkok (นิกากุ) มาเปิดใหม่ โดยร้านซ่อนตัวภายใต้บรรยากาศเงียบสงบบริเวณชั้นจี W Bangkok รอต้อนรับด้วยซูชิจากวัตถุดิบชั้นเลิศ

ด้านหน้าร้าน Nikaku Bangkok ต้อนรับผู้มาเยือนด้วยป้ายโคมไฟส่องสว่างขนาดพอเหมาะ พร้อมประตูไม้บานใหญ่ ‘Nikaku’ ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง ‘นกกระเรียนคู่’ โดยนกกระเรียนเป็นสิ่งนำโชคตามความเชื่อของญี่ปุ่น ส่วนนกกระเรียนคู่เป็นสัญลักษณ์ของ ‘ความเจริญรุ่งเรือง – ยั่งยืน’ เมื่อเปิดประตูไม้เข้าไปจะพบกับประตูเลื่อน (โชจิ) อีกชั้น ด้านในตกแต่งสไตล์โมเดิร์นแต่ยังมีองค์ประกอบของความเป็นญี่ปุ่น ให้ความรู้สึกหรูหราทว่ายังแฝงไปด้วยอบอุ่นเรียบง่าย พื้นที่กว้างรองรับได้ราว 10 – 12 ที่นั่ง และยังมีบาร์สำหรับให้บริการเครื่องดื่มขนาดเล็ก ๆ อยู่ด้านใน

เชฟเซ็ตสุโอะ ฟุนาฮาชิ (Chef Setsuo Funahashi) ทายาทรุ่นที่ 3 ของร้านซูชิที่เก่าแก่กว่า 60 ปี รอต้อนรับอยู่ด้านในเคาน์เตอร์ พร้อมด้วยลูกมือที่คอยอธิบายให้ความรู้เกี่ยวกับเมนูต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีภรรยาของเชฟเซ็ตสุโอะที่เป็นผู้รังสรรค์เมนูของหวาน ร่วมส่งรอยยิ้มทักทาย

ความโดดเด่นของ Nikaku โอมากาเสะ มิชลิน 2 ดาว จากคิวชู คือ ‘ความสดใหม่’ ซึ่งทางร้านเชื่อว่าเป็นหัวใจหลักของซูชิแบบ ‘เอโดะมาเอะ’ (Edo-mae) จึงให้ความสำคัญอย่างมากกับการเสาะหาสุดยอดวัตถุดิบระดับพรีเมี่ยมจากช่องแคบคันมง (คันมง) และแหล่งน้ำในคิวชู ส่งตรงมาถึงประเทศไทยภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 วัน เพื่อเสิร์ฟเอโดะมาเอะ นิกิริซูชิที่ยังคงรสสัมผัสสดหวานนุ่มลิ้นของปลา และอาหารทะเลแต่ละชนิดไว้แบบเต็ม ๆ คำ เข้ากันได้ดีกับข้าวปั้นที่ถูกปรุงจนได้รส ‘อันไบ’ หรือรสชาติอันกลมกล่อมอันเกิดจากการผสมผสานระหว่าง ‘น้ำส้มสายชู’ กับ ‘เกลือ’ ผสานเทคนิคการปั้นแบบ Honte-gaeshi ที่ถูกสืบทอดมามายาวนานกว่า 200 ปี
Nikaku


ที่นี่ไม่มีเมนูให้ดูล่วงหน้า ตามแบบฉบับการรับประทานอาหารแบบ โอมากาเสะ ที่ให้ความไว้วางใจเชฟในการเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า อย่างวันที่เราเดินทางไปเยือนมีโอกาสได้ชิมทั้ง ‘ปลาอามะไดแดง’ ที่นับเป็นสุดยอดวัตถุดิบที่ทั้งหายาก และราคาสูง โดยส่วนใหญ่ปลาอามะไดแดงที่พบเห็นมักถูกผ่านการปรุงแล้ว เนื่องจากเป็นปลาที่คงความสดไว้ค่อนข้างยาก แต่ครั้งนี้เชฟเซ็ตสุโอนำปลาอามะไดแดงดิบเนื้อนุ่มจนแทบละลายในปาก มาสร้างความประทับใจตั้งแต่ต้นคอร์ส
Nikaku



นอกจากนี้ยังมี ทาโกะ หรือ ‘หมึกยักษ์’ เนื้อหวานเด้งหนุบหนับเสิร์ฟมาในซอสที่รสชาติเปรี้ยวหวานกำลังดี พร้อมสาหร่ายวากาเมะ แตงกวา และหอมดอง, ตามด้วย ซาบะ, ไข่ตุ๋นเย็นท็อปปิ้งด้วยอูนิครีม ไข่ปลาแซลมอน และกระเจี๊ยบ, อามะเอบิ (กุ้งหวาน), โอโทโร่, อามะไดย่าง, อาจิ, มะเขือยาว, อิกะ หรือ ‘หมึกหอม’, ซาวาระ หรือ ‘ปลาอินทรีย์ญี่ปุ่น’, อูนิ, ชูโทโร่, อานาโกะ, มากิ, ซุปมิโซะแดง, ทามาโกะ หรือ ‘ไข่หวาน’
Nikaku



ถัดมาที่ของหวานอย่าง Mizuyoukan ของหวานญี่ปุ่นทำจากถั่วกวน และผลไม้ตามฤดูกาลในวุ้นใส, เค้กชาเขียวรสชาติเข้มข้น ไม่หวานมาก ปิดท้ายด้วยขนมที่มีกลิ่นอายความเป็นไทยเล็ก ๆ อย่างพุดดิ้งมะม่วง ที่มีกะทิให้เลือกเติมได้ตามใจชอบ
Nikaku


เมนูของ Nikaku ค่อนข้างเรียบง่าย แต่สามารถสร้างเซอร์ไพรส์ได้ทั้งในด้านวัตถุดิบและรสชาติ ทำให้เพลิดเพลินและประทับใจได้ตลอด 20 คอร์ส เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบซูชิแบบ โอมากาเสะ ซึ่งทางร้านยังมีเมนูชาและสาเกให้เลือกแพร์ริ่งกับคอร์สต่าง ๆ เพิ่มเติม เปิดประตูให้ลิ้มลองความอร่อยทั้งมื้อเที่ยง เวลา 12.00 น. และมื้อเย็น เวลา 17.00 / 20.00 น. (ปิดทุกวันพุธ).
