แม้กิจวัตรหลักของคุณจันทนา ปางพุฒิพงศ์ เซลบี้ จะเป็นแม่บ้านเต็มตัวและเจียดเวลาดูแลฟาร์มสุนัขที่กำลังเติบโตและได้รับความสนใจในระดับ South East Asia จากการจัดแข่งขันสุนัขเป็นประจำทุกปีแล้ว คุณจันทนายังหาโอกาสเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนทุกครั้งที่มีโอกาสและหนึ่งในประเทศที่เธอมักเดินทางไปเป็นประจำทุกปีคือตุรกี และล่าสุดกับความประทับใจที่ได้มีโอกาสย้อนรอยประวัติศาสตร์เยี่ยมชมมรดกโลกคัปปาโดเกีย (Cappadocia)เมื่อปีที่แล้วนี่เอง
“จริงๆ แล้วดิฉันไปเที่ยวมรดกโลกมาหลายแห่งนะคะ นครวัดหรือว่าบรูจ (Brugge) ก็เคยไปแต่ที่รู้สึกประทับใจและตื่นเต้นมากคือคัปปาโดเกียประเทศตุรกี เพราะว่าตั้งแต่อดีตกาลที่นั่นเหมือนเป็นเมืองเก่าที่เคยเจริญมาก่อนแล้วถูกทำลายด้วยภูเขาไฟพอกาลเวลาผ่านไปซากภูเขาไฟก่อขึ้นมาหนามาก ผ่านพบลมก็ดีน้ำก็ดีปัดเป่าจนกระทั่งมันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาตลอดระยะเวลานับพันๆปีแล้วที่น่าตื่นเต้นไปกว่านั้นคือเมืองนั้นเป็นเมืองโบราณและปัจจุบันมีประชากรท้องถิ่นอาศัยอยู่จริง”
ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานของคัปปาโดเกีย ดินแดนอันเก่าแก่ทางตอนกลางของประเทศตุรกี พื้นที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อหลายพันปี ก่อให้เกิดเถ้าภูเขาไฟมโหฬารจนรวมตัวเกาะกลุ่มเป็นมวลหินเบาปกคลุมเป็นบริเวณกว้าง
“ในอดีตมีหลักฐานหลงเหลือบ่งว่าพวกโรมันมาบุกอิสลาม เพราะมีหลักฐานให้เห็นถึงความเจริญต่างๆ ที่หลงเหลืออยู่ ที่สำคัญประชาชนเขายังใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนโบราณนี้ แม้แต่โรงแรมที่พักก็อยู่ในถ้ำ บริเวณที่พักอาศัยนั้น หลังจากภูเขาไฟระเบิดเป็นพันๆปีแล้ว โดนลมพัดไปน้ำพัดมามีรูปร่างแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นดอกเห็ด เหมือนปล่องไฟบ้าน มีหลายรูปทรงมาก แล้วโรงแรมที่ดิฉันพักเป็นถ้ำ เหมือนกับว่าเราได้ย้อนกลับไปในอดีตจริงๆ” คุณจันทนาเล่าย้อนความประทับใจ
“ปกติดิฉันไปเที่ยวอิสตันบูล ประเทศตุรกีบ่อยมาก ไปทุกปีมาเป็นสิบปีแล้ว เพราะมันคือ East และ West มาบรรจบกัน มีทั้งยุโรปและเอเชีย เเต่เพิ่งจะได้ไปคาปาโดเกียเมื่อปีที่เเล้วนี้เอง ตื่นตาตื่นใจมาก การเดินทางไม่ยากจากอิสตันบูลมีรถบัส เดินทางประมาณ 6-7 ชม. หรือจะไปเครื่องบินภายในประเทศก็ได้เช่นกัน พอไปถึงแนะนำให้ใช้ไกด์ท้องถิ่น เพราะเขามีความรู้ว่าควรจะไปที่ไหน ดิฉันโชคดีได้ไกด์กิตติมศักดิ์เป็นเพื่อนคุณปืน (หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร) เป็นไกด์นำเที่ยว ”
“ดิฉันประทับใจหลายอย่างมากในคัปปาโดเกีย หนึ่งในนั้นคือ Derinkuyu Underground City เป็นเหมือนถ้ำใต้ดิน คืออยู่ข้างบนเราจะมองไม่เห็นอะไรเลยนะ แต่จริงๆมันลึกลงไปเท่ากับตึก 5 ชั้นเลย แล้วในนั้นมีคนอยู่จริง สมัยที่มีสงครามคนก็เข้าไปอยู่ในนั้นเป็นหมื่นเลยนะ เป็นที่หลบภัยอย่างดี ในสมัยศตวรรษที่4 มีหลักฐานว่าคนพื้นเมืองได้ใช้เมืองใต้ดินหลบซ่อนหนีข้าศึกที่มารุกรานนานเป็นปีๆ เราจะเห็นว่าคนสมัยโบราณเขามีความรู้มากคือ ข้างใต้มีการระบายอากาศที่น่าทึ่งมาก เหมือนเจาะเข้าไปเป็นห้องนั้นห้องนี้ ห้องนอน โรงครัว ใหญ่มากเหมือนอาคารขนาดใหญ่ๆ แต่เป็นเมืองใต้ดิน เขาเปิดให้ทัวร์ลงไป โรงแรมส่วนใหญ่ก็อยู่ในถ้ำ
“โรงแรมที่ดิฉันพักชื่อ Museum Hotel เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวก็อยู่ในถ้ำเหมือนกัน คือโรงแรมเขามีให้เลือกหลายระดับมาก สามารถเสิร์ชหาในอินเตอร์เน็ตได้เลย มีสปาเก๋ๆ เหมือนเราได้ย้อนยุคเลย มันเป็นความรู้สึกที่ว่าไม่เคยเจอในสถานที่ซึ่งเป็น world heritage แบบนี้ ต้องถือว่ามัน unique มากๆ”
คุณเล็กมีคำแนะนำสำหรับการไปเยือนคัปปาโดเกียว่า “แนะนำว่าควรอยู่ไม่ต่ำกว่า 3 คืน แล้วควรเลือกไปในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม เพราะอากาศกำลังดี แล้วถ้าอยากดูให้รอบๆ แบบไม่ต้องเหนื่อย ให้นั่ง Hot Air Balloon Ride ค่ะ จะเห็นเมืองทั้งเมืองได้มากกว่า แล้วก็ไม่ควรพลาด Open Air Museum เป็นศูนย์รวมของอารยธรรมเก่าแก่ที่ต้องชม เขารักษาประวัติศาสตร์ของเขาไว้ได้ดีมาก ต้องชื่นชมคนของเขา ถือว่าเป็นประเทศที่แนะนำให้ศึกษาประวัติศาสตร์เลยค่ะสำหรับคนที่ไม่เคยเรียนมาทางด้านนี้”
คุณจันทนายังฝากทิ้งท้ายว่า “คราวหน้าถ้าได้ไปอีกดิฉันคงเลือกที่จะอยู่นานเป็นอาทิตย์ เพราะว่าเรายังเพลิน อาหารเช้าของโรงแรมก็ประทับใจมาก เขาสอนให้เราใช้น้ำผึ้งทาขนมปัง อร่อยมาก คือไม่เคยทานอาหารเช้าอร่อยๆ แบบนี้มานานแล้ว ดิฉันเป็นแอร์โฮสเตสเก่า เดินทางมามาก เห็นมามาก มรดกโลกก็ไปมาเยอะ ถ้าจะให้กลับไปก็มีแค่ไม่กี่ประเทศหรอก แต่สำหรับที่นี่คือต้องกลับไปเลย แล้วเหตุผลที่เขาได้ขึ้นเป็นมรดกโลก เพื่อให้ช่วยกันอนุรักษ์ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา ทำให้เราได้ศึกษาวัฒนธรรมของกันและกัน ซึ่งช่วยให้เราได้รู้จักมนุษยชาติในอดีตดึกดำบรรพ์ที่ผ่านมา”
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลกที่น่าสนใจ ได้ใน HELLO! Travel ฉบับ World Heritage วางแผงแล้ววันนี้ !
สนับสนุนเรื่องราวการเดินทางสุดพิเศษโดย การบินไทย