ความที่เป็นคนชอบประวัติศาสตร์สมัยเรียนชอบเอาหนังสือประวัติศาสตร์จากห้องสมุดโรงเรียนมาอ่านส่วนมากเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ของเด็ก ทำให้ ‘คุณแจ่มจรัส สุชีวะ‘ รู้จักความเป็นมาของหลายๆพื้นที่ หลายๆอารยธรรมในโลก โตขึ้นจึงเลือกสถานที่เที่ยวที่อิงกับประวัติศาสตร์ที่เราเคยรู้และสนใจ ทำให้รู้แค่ที่มาที่ไปของสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมของที่นั้นๆมันทำให้การเที่ยวของเรามีมิติและมีความหมาย เรารู้ประวัติศาสตร์แบบพื้นฐานพอได้สนุกเวลาเที่ยวไม่ได้รู้ลึกแบบวิชาการ
หลังๆ มานี้ ‘คุณทิมทอง สุชีวะ’ ผู้เป็นน้องสาวจะเป็นคนขอให้พาไปเที่ยวที่นู้นที่นี้ แต่เขาชอบแนวธรรมชาติ จึงต้องเลือกสถานที่ๆ มีทั้งประวัติศาสตร์และแหล่งธรรมชาติที่สวยงาม เช่นเดียวกับมอลต้า เป็นประเทศที่มีความเชื่อมโยงกับสงครามครูเสด (Crusade) ที่เราสนใจ และก็เป็นเกาะที่มีทะเลที่สวยงามด้วย จึงเป็นที่ที่ลงตัวสำหรับการไปเที่ยวของทั้งสองคน
มอลต้าเป็นเกาะเล็กๆ กลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ความเป็นเมืองอัศวินของมอลต้า ปรากฏอยู่ชัดเจนในสถาปัตยกรรมบนเกาะแห่งนี้ อย่างเช่น ขั้นบันไดตามถนนของเมืองวาลเล็ตต้า ถูกออกแบบสัดส่วนให้สะดวกในการก้าวเท้าของอัศวินในชุดเกาะ ความที่ผมเรียนจบด้านสถาปัตยกรรม และเป็นสถาปนิกอยู่ด้วย จึงมีความสนใจเป็นพิเศษกับตึกรามและป้อมปราการอันมหึมาริมทะเล เมืองวาลเล็ตต้ามีความเก่าแบบดิบๆ ซึ่งผมชอบมากกว่าเมืองเก่า ที่ถูกซ่อมแซมให้ใหม่วิ้ง มันดูเป็นเมืองเก่าที่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตจริงๆ ไม่ใช่เมืองเก่าที่ถูกอนุรักษ์เอาไว้ เพื่อการท่องเที่ยวเฉยๆ เมืองวาลเล็ตต้ามีบรรยากาศของเมืองนักรบโบราณและเมืองตากอากาศริมทะเลในเวลาเดียวกัน และนี้คือเสน่ห์พิเศษของเมืองนี้
เมืองวาลเล็ตต้า ตั้งอยู่บนอ่าว Grand Harbour เป็นแหลมยื่นออกไปในทะเล และรายล้อมด้วยแหลมอีกหลายๆอัน กลายเป็นเมืองอีกสองเมืองชื่อ Senglea กับ Birgu โดยพื้นที่ตรงนี้เรียกกันว่าเป็น The Three Cities เป็นจุดยุทธศาสตร์โดยแท้ ทุกวันนี้อ่าว Grand Harbour เปลี่ยนสภาพจากจุดยุทธศาสตร์ในการรบทางทะเล เป็นแหล่งรวมของเรือยอร์ชและเรือครูซ จากทั้วยุโรป มีมาริน่า จอดเรือยอร์ช หลายอัน บางอันมีเรือยอร์ช จอดอยู่ถึง 600 ลำ ขณะเดียวกันก็มีเรือประมงท้องถิ่นมีสีสันสดใส แทรกอยู่เป็นวิถีดั้งเดิมของชาวเกาะ
เรานอนพักที่ปลายแหลม Senglea ฝั่งตรงข้ามกับวาลเล็ตต้า เป็น guest house เล็กๆ มองวิวออกทะเลและเมืองวาลเล็ตต้า เป็นบริเวณที่สงบเงียบไม่วุ่นวาย เวลาไปไหนมาไหนต้องนั่งเรือข้ามฝากอ่าวไป วาลเล็ตต้า ก่อนทุกวันประมาณ 10 นาที แต่ต้องเดินจากที่พักไปท่าเรืออีก 20 นาที เป็นการได้ออกกำลังกายไปในตัว สถาปัตยกรรมของ มอลต้าน่าสนใจมากเพราะจะมีกลิ่นอายของตะวันตกกับตะวันออกอยู่ด้วยกัน ทุกตึกจะมีมุขหน้าต่างไม้ยื่นมาจากตัวอาคารที่เป็นหิน สำหรับเป็นห้องรับลม ทำให้ตึกรามในมอลต้า ถึงแม้จะดูแกรนแบบตึกยุโรป แต่ก็มีความเป็นเมืองชาวเกาะอยู่ในตัว มุขหน้าต่างไม้ของแต่ละตึกมีสีสันฉูดฉาด ทำให้ผมนึกถึงสีสันของเรือประมงท้องถิ่น
มอลต้าเป็นเกาะที่มีการอยู่อาศัยของมนุษย์ตั้งแต่ยุคหิน อีกความที่น่าสนใจของมอลต้าจึงเป็นสิ่งก่อสร้างสมัยยุคหิน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เป็นสิ่งก่อสร้างกลุ่มแรกของโลก ที่เราได้มีโอกาสไปคือ Ghar Dalam และ Ggantija temple ซึ่งสำหรับสถาปนิกอย่างผม มีความรู้สึกพิเศษกับการได้ไปอาคารที่ในว่าเป็น สิ่งก่อสร้างอันแรกของมนุษย์ อีกเมืองหนึ่งที่น่าสนใจของมอลต้าคือเมือง Mdina อยู่ไม่ไกลจากวาลเล็ตต้า เป็นเมืองหลวงอันแรกก่อนย้ายไปวาลเล็ตต้า เป็นเมืองเก่าเล็กๆที่น่ารัก
ด้วยความที่น้องสาวชอบทะเลเราจึงต้องสลับการดูเมืองกับการเที่ยวทะเล ทะเลในมอลต้าจะมีลักษณะเป็นผาหิน น้ำทะเลที่นั้นใสและสีสวย และกิจกรรมทางน้ำอย่างสน็อกเกิลหรือดำน้ำลึกก็เป็นที่นิยมอยู่พอสมควร เราได้ไปนอนเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง ชื่อ โกโซ่ ทางตอนบนของมอลต้าเกาะนี้ถ้าไปกันหลายคนเหมาะที่จะมาเหมาเรือยอร์ท ไปตามอ่าวต่างๆ ติดกับโกโซ่ มีอีกเกาะเล็กๆ ชื่อ โคมินโน่ (Comino)
อาหารเป็นอีกส่วนสำคัญในการเที่ยวของเรา มอลต้ามีอาหารทะเลที่อร่อย ส่วนมากจะเป็นอาหารแบบอิตาเลี่ยน อาหารท้องถิ่นจริงๆ มี เช่น สตูกระต่าย เราไปร้านอันหนึ่งที่ประทับใจมาก เป็นร้าน Local เล็กๆ อยู่ในเมืองเก่าย่าน Birgu ตัวตึกอายุ 500-600 ปีแล้ว เสิร์ฟอาหารท้องถิ่นจริงๆ เมนูจะเปลี่ยนไปทุกวันตามวัตถุดิบในฤดูกาลและเจ้าของจะเสิร์ฟอาหารโดยเราไม่ต้องเรียกเมนูเลย
ช่วงเดือนที่น่าไปเที่ยวมอลต้าที่สุด น่าจะเป็นช่วงเดือนที่เราไป คือเดือนสิงหาคม เพราะเป็นหน้าร้อน ทะเลสีสวยแต่ข้อเสียคือ นักท่องเที่ยวจากยุโรปจะมากหน่อย มอลต้ายังสามารถนั่งเรือโดยสารมาจากเกาะซิซิลีได้ด้วย … สำหรับผม มอลต้าเป็นเมืองที่ผสมผสานไว้หลายบรรยากาศ และมีเอกลักษณ์ ที่น่าสนใจมาก ทั้งน้องสาวและผมประทับใจกับประเทศนี้พอๆ กัน
…………………………………………………………
Cr. : แจ่มจรัส สุชีวะ