มีมี่ตกหลุมรัก ฟรีไดฟ์ เมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นเป็นช่วงโควิดที่เดินทางไกลไปไหนไม่ได้ ทำให้ได้ใช้โอกาสนั้นฝึกในทะเลเมืองไทยบ่อย ๆ สิ่งที่ทำให้เราชอบการ ‘ดำน้ำ’ แบบฟรีไดฟ์ มากกว่าแบบสคูบา คือไม่ต้องวุ่นวายกับอุปกรณ์ที่ดูมากมายไปหมด การได้ดำลงใต้น้ำที่เบาตัวแบบนี้ทำให้มีมี่รู้สึกว่ามันคือความอิสระจริง ๆ จากเกาะเต่าที่ได้ไปดำบ่อย ๆเมื่อโควิดสงบลงก็ทำให้ได้ออกไปดำในที่อื่น ๆ มากขึ้นอย่างมัลดีฟส์ และล่าสุดคือ ฟิลิปปินส์ ประเทศที่ได้ชื่อว่าทะเลสวยและอุดมสมบูรณ์อันดับต้น ๆ อีกแห่งของโลกมีมี่และเพื่อนร่วมทริป ซึ่งประกอบด้วยครูฝึกและคนรักฟรีไดฟ์ อย่างมีมี่รวมแล้วสิบคน จองไฟลท์ไปฟิลิปปินส์ในช่วงต้นปีที่สายการบินยังเปิดเที่ยวบินได้ไม่เต็มที่ ทำให้การเดินทางค่อนข้างใช้เวลา เพราะต้องไปลงที่สนามบินมะนิลาตอนตีหนึ่ง เพื่อรอต่อเครื่องไปเซบูตอนตีห้า แล้วนั่งรถต่ออีกสามชั่วโมงกว่า ๆ ทันที
READ: H! LIST 2022: ทิพาณัท เลณบุรี

แม้ถนนหนทางและรถราในเซบูยังไม่สะดวกสบายนัก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา เพราะใจเราล่วงหน้าไปถึงเกาะแล้วจากเซบู เราตรงดิ่งไปยังเมือง โมลโบล (Moalboal) ชื่อเสียงของเมืองนี้โด่งดังไปทั่วโลกเรื่อง Sardine Run หรือปลาซาร์ดีนนับล้านตัวที่นักดำน้ำนิยมดำลงไปว่ายด้วย เราไปถึงโมลโบลแล้วเข้าโรงแรมเปลี่ยนชุดอย่างไม่รีรอ shore dive (ดำแบบไม่พึ่งเรือโดยเดินจากฝั่ง) และลงดำน้ำตั้งแต่เที่ยงวัน ปลาซาร์ดีนฝูงมหึมาว่ายอยู่รอบ ๆ ตัวเรา เราดำผลุบโผล่อยู่ตรงนั้นจนสมใจ ก่อนจะกลับเข้าที่พัก เพื่อที่จะตื่นเช้าแล้วไปดำที่จุดเดิมอีกรอบ

แพลนของวันต่อมา คือกลับไปดำน้ำกับปลาซาร์ดีน แล้วไปเที่ยวต่อกันที่ น้ำตกคาวาซัน (Kawasan) ซึ่งอยู่บนเกาะเดียวกันและอยู่ไม่ไกล นั่งรถตู้ราว 15 นาทีก็ถึงทางเดินขึ้นน้ำตก เรามีเวลาที่น้ำตกนี้แค่ไม่เกินสองชั่วโมงเพราะต้องไปต่ออีกเมือง ทำให้ต้องลดระยะด้วยการนั่งมอเตอร์ไซค์ไปยังจุดที่อยู่ใกล้น้ำตกแล้วเดินต่ออีกหน่อย เพราะหากเดินทั้งรูทจะต้องใช้เวลาถึง 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว
น้ำตกคาวาซันมี 3 ชั้น น้ำใสจนเป็นสีเขียว และมีความเป็นธรรมชาติมาก เราขึ้นไปชั้นบนสุดก่อนแล้วก็ลงมาชั้นล่าง ด้วยการกระโดดลงจากหน้าผาที่ความสูงราว 10-12 เมตร กระโดดลงมาแล้วก็ไหลไปตามน้ำลงไปเจออีกชั้นสอง แล้วก็กระโดดลงไปจากชั้นนี้อีกสัก 5 เมตร ออกแนวผจญภัยเล็ก ๆ แต่สนุกมาก ได้เล่นพอหอมปากหอมคอ ก็เดินทางต่อไปยังเมือง ออสโลบ (Oslob) เพื่อดำน้ำกับ Whale Shark หรือฉลามวาฬ

ตามกำหนดเราต้องไปถึงจุดดำน้ำในตอนตี 5 อดคิดไม่ได้ว่าทำไมเราถึงต้องไปเช้าขนาดนั้น แต่เมื่อไปถึงปรากฏว่ามีคนรอดำน้ำอยู่แล้วเป็นร้อยคน ตี 5 ของเราจึงนับว่าสายแล้วสำหรับไดฟ์นี้ จุดดำน้ำกับฉลามวาฬเป็นจุดที่บริหารจัดการโดยเมือง และฉลามวาฬเหล่านี้ก็ได้รับการดูแลจากเมือง ทำให้นักท่องเที่ยวนิยมมาดำน้ำกันที่นี่ โดยมีเจ้าหน้าที่กำกับดูแลอย่างดี ด้วยการกำหนดจำนวนคนและเวลาในการดำน้ำ
ก่อนลงดำน้ำเจ้าหน้าที่จะบรีฟกติกาให้เราฟังก่อน เช่นว่า ห้ามเข้าใกล้ปลา อย่าว่ายน้ำตัดหน้าปลา หรือห้ามว่ายไล่ตามปลา เพื่อไม่ให้เรารบกวนการใช้ชีวิตของปลา แต่ถึงเวลากลับปรากฏว่าเป็นเราเสียเองที่ต้องพยายามไม่ให้ปลามาโดนตัว เพราะฉลามวาฬที่ว่ามีอยู่หลายตัวและจะว่ายวนรอบตัวเราไปมา หนำซ้ำยังตัวใหญ่มาก กลับตัวทีหนึ่งเรายังหลบแทบไม่ทัน ทำให้เราเคลื่อนไหวได้ยาก ความตื่นเต้นของเราจึงเป็นการต้องอยู่ท่ามกลางฝูงฉลามวาฬที่ล้อมรอบ แต่ต่างไม่ยุ่งเกี่ยวกัน คนก็ดำน้ำไป ปลาก็กินอาหารไป

บริเวณนั้นมีนักดำน้ำทั้งสคูบาที่อยู่ใต้น้ำ สน็อกลิ่งตรงผิวน้ำ และฟรีไดฟ์ อย่างเราที่ดำขึ้นลง แต่ไม่ต้องลงลึกเพราะฉลามวาฬเหล่านี้เขาอยู่ลึกแค่ 6-7 เมตร ถึงแม้การฟรีไดฟ์ จะทำให้อยู่ในน้ำได้ไม่นานในการดำลงไปในแต่ละครั้ง เพราะเป็นการดำที่อาศัยความทนของสภาพร่างกายตัวเอง อยู่แค่กลั้นหายใจได้ หมดลมก็ขึ้นมาหายใจแล้วลงไปใหม่ แต่ทั้งหมดนี้เราต้องฝึกทักษะการดำที่ถูกต้อง ทั้งวิธีกลั้นหายใจในน้ำลึกที่ต้องเคลียร์หูโดยใช้แรงน้อยที่สุด วิธีเตะขาโดยใช้แรงน้อยที่สุด เพื่อที่เราจะกลั้นหายใจได้นานขึ้น และอยู่ใต้น้ำได้นานขึ้น
หลายคนที่ดำสคูบาบอกกับมีมี่ว่าจะขึ้น ๆ ลง ๆ ทำไมให้เหนื่อย ทำไมไม่สคูบาไปเลย แต่สำหรับตัวเองแล้ว การดำลงไปโดยไม่มีถังออกซิเจน ไม่ต้องใส่อุปกรณ์เเยอะแยกมากมาย แค่มีฟินและหน้ากากก็ลงได้เลย ความรู้สึกในเวลาที่ลงไป มันคือ ‘ฟรี’ จริงๆ

จบจากไดฟ์นี้ เรากลับเข้าเมืองเซบูเพื่อขึ้นเรือไปอีกเกาะหนึ่งชื่อ เกาะพังเลา (Panglao) ที่นี่ไม่ได้โด่งดังด้วยปลาหรือสัตว์ทะเลอื่นๆ แต่เราดำลงไปดูเครื่องบินจม ซึ่งเป็นครั้งแรกของมีมี่เหมือนกันเพราะปกติส่วนใหญ่จะมีแต่เรือจมเสียมากกว่าการไปจุดเครื่องบินจมไม่ต้องนั่งเรือไปเพราะอยู่ห่างจากชายหาดแค่ประมาณ 200-300 เมตร เตะขาไปเรื่อย ๆ สักพักหนึ่งก็ถึง น้ำใสแจ๋วมองลงไปก็เห็นซากเครื่องบินเล็กที่จมอยู่ที่พื้น ซึ่งมีความลึกประมาณ 10 เมตรเท่านั้น เราดำลงไปถ่ายรูปถ่ายวิดีโอกับเครื่องบินวนไปวนมากันพักใหญ่ ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากกว่านั้น
เช้าวันรุ่งขึ้นนั่งเรือกลับไปเกาะเซบูเพื่อต่อเครื่องบินอีกที คราวนี้เราย้ายกันไปที่ โครอน (Coron) บน หมู่เกาะปาลาวัน (Palawan) ซึ่งมีเกาะเล็ก ๆ อยู่อีกหลายเกาะ จุดหมายแรกของเราอยู่ที่ ทะเลสาบบาร์ราคูดา (Barracuda Lake) จอดเรือที่ทะเลและเดินข้ามหุบเขาเข้าไปนิดเดียวถึงจะเจอทะเลสาบน้ำใสมาก ๆ ดำลงไปหน่อยจะเจอความงดงามของหน้าผาที่เหมือนหินงอกหินย้อยก่อตัวอยู่ใต้น้ำซึ่งสวยเอามาก ๆ เหมือนเป็นอีกโลกใต้น้ำเลย

ความพิเศษอีกอย่างนอกจากความงามของหินและถ้ำต่าง ๆ น้ำจะเป็นทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม ยิ่งลงลึกน้ำยิ่งอุ่น และเหมือน weightless หน่อย ๆ เวลาอยู่ในน้ำ ทุกวันนี้ก็ยังมีบาร์ราคูดาอยู่ในทะเลสาบอยู่ด้วย แม้จะไม่ได้มาต้อนรับเราเป็นฝูงใหญ่เหมือนที่เราเจอซาร์ดีนกับฉลามวาฬ แต่ก็ออกมาปรากฏตัวให้เห็นแบบไม่เสียชื่อทะเลสาบ
หลังออกจาก Barracuda Lake เราก็ไปดำดูปะการังที่ Reef Garden เป็นปะการังแข็งส่วนใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่กว้างทีเดียว ดำตรงนี้แล้วนึกถึงหมู่เกาะสุรินทร์บ้านเราที่ส่วนตัวคิดว่าสวยกว่า ทะเลที่นี่ยังสมบูรณ์ด้วยปลาและปะการัง และคนยังไม่เยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นคนฟิลิปปินส์เอง จะมีต่างชาติบ้างก็เกาหลี จีน อาจจะด้วยเดินทางค่อนข้างลำบาก ขณะเดียวกันเขาก็ยังดูแลเกาะเอาไว้ได้ดีอยู่

เที่ยงแล้วเราก็ไปแวะพักผ่อนที่เกาะ Smith Beach ส่วนชายหาดของเกาะนี้ก็มีทรายขาวสวยน้ำทะเลสีฟ้าใส สวยจริง ๆ ต่อด้วยไปดำเรือจม Skeleton Shipwreck เป็นเรือญี่ปุ่นที่เหลือแต่โครงแล้วถูกจมสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เรือทอดยาว 25 เมตร จุดสูงสุดอยู่ที่5เมตรจนลึกสุดที่ 22 เมตร ต่างคนต่างดำดูรอบ ๆ เรือ มีปะการังขึ้นมากมาย และมีปลาสี ๆ เยอะแยะ อีกจุดที่สวยงามคือ Twin Lagoons ทะเลสาบสองทะเลสาบที่เชื่อมต่อกัน แต่การเข้าไปยังอีกทะเลสาบต้องว่ายน้ำลอดข้ามไป หรือจะเดินข้ามก็ได้
วันสุดท้ายเรายังอยู่ที่โครอนในหมู่เกาะปาลาวันเช่นกัน เป็นจุดที่ทางรัฐบาลฟิลิปปินส์ได้อนุรักษ์พะยูนเอาไว้ จึงมีพะยูนเข้ามาอยู่ตลอด และแน่นอนว่าเราจะลงไดฟ์สุดท้ายที่ฟิลิปปินส์ด้วยการดำลงไปดูพะยูนนั่นเอง ความที่เป็นแหล่งอนุรักษ์พะยูน (Dugong) การจะเข้าไปยังบริเวณนั้นจึงต้องลงทะเบียนเอาไว้ล่วงหน้า และจองเรือเอาไว้ เรือที่ฟิลิปปินส์จะเป็นเรือที่มีขาเหมือนแมงมุมให้เราเกาะพักเวลาเล่นน้ำได้

การจะไปดูพะยูนจะมีตำรวจพะยูนหรือ Dugong Police นำไป แล้วตำรวจพะยูนจะดำลงไปหาพะยูนให้ก่อน เมื่อเจอถึงจะเรียกให้เราลงไป ที่เขาไม่ให้เราลงไปเองหรือตามหาเองเพราะไม่ต้องการให้รบกวนพะยูน เราได้เห็นเลยว่าเขาดูแลพะยูนกันจริงจัง รู้หมดว่ามีทั้งหมดกี่ตัว รู้พฤติกรรมว่ามีตัวไหนรับแขกไม่รับแขก ตัวที่รับแขกก็ออกมาว่ายผลุบโผล่ให้เห็นตรงที่เรือจอด
เมื่อได้จุดที่จะดำลง ตำรวจพะยูนก็มารับเราดำลงไปด้วยกัน ที่เราเห็นว่าพะยูนตัวกลมๆ อ้วนอุ้ยอ้าย ลวงตาให้ดูเหมือนเคลื่อนไหวช้า แต่เอาเข้าจริงเขาพลิ้วมากและเร็วมากจนเราตามไม่ทัน เตะฟินยาวแล้วก็ยังไม่ทันเลย ความน่ารักของพะยูนทำให้เราอยู่ลอยเรืออยู่เกาะนี้ทั้งวัน ร้อนก็กระโดดลงน้ำ ยึดขาเรือแมงมุมเอาไว้ตอนพัก อากาศดี วิวสวย ทำให้ไม่มีเบื่อ
หกคืนในฟิลิปปินส์จบลงอย่างรวดเร็ว เพราะทุกวันที่ออกทะเลมีแต่ความสนุก และคุ้มค่ากับความลำบากบางประการ เพราะที่พัก สิ่งอำนวยความสะดวกยังไม่สะดวกพอจะทำให้เราอยู่อย่างสบาย แต่ความสวยของทะเล น้ำที่ใสทุกจุดที่ลง ความแตกต่างของแต่ละจุดที่มีวิว ปลาและสัตว์ต่างชนิดกัน ปะการัง ความอุดมสมบูรณ์ของทะเล คือคำตอบที่ต่อให้ลำบากมีมี่ก็จะกลับไปอีก

Where to Stay
เนื่องจากเราเน้นอยู่กันในทะเล ออกแต่เช้ามืด กลับมาก็เย็น ที่พักที่เลือกจึงอยู่ใกล้กับท่าเรือและใกล้เมือง
- Treetop Suites บูทีคโฮเทลที่อยู่ใจกลางเมืองโครอน และเดินทางไป Barracuda Lake ได้สะดวก
- Corto del Mar Hotel เป็นโรงแรมที่อยู่ในโครอนเหมือนกัน แต่ความที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านชาวประมงบนเกาะ Busuang ทำให้ได้อารมณ์ของวิวที่ต่างกัน
Where to Eat
อาหารที่นี่ออกรสชาติเค็ม ส่วนอาหารพื้นเมืองก็ไม่ค่อยถูกปากพวกเรานัก เลยทานอาหารพวกบาร์บีคิวและอาหารฝรั่งเป็นหลัก หรือ junk food จำพวกเบอร์เกอร์ ไก่ทอด เพราะกินแล้วรอดสุด ร้านที่มีมี่แนะนำจะอยู่ในโครอนทั้งหมดเลย คือ Karl’s BBQ, El Kuvo, Pacifico และ Poco Deli