บาร์เซโลนาสู่เอเธนส์ 10 วันแห่งการรีชาร์จตัวเอง บนเรือ Oceania Riviera ของ ‘อรธิรา ภาคสุวรรณ’
ถ้าพูดถึงเรื่องเที่ยวในกลุ่มเหล่าเซเลบริตี้แล้วล่ะก็ เชื่อเลยว่าถ้าทริปไหนมีชื่อของ ‘คุณวิกกี้-อรธิรา ภาคสุวรรณ’ รวมอยู่ด้วยแล้ว ก็การันตีเรื่องความเอ็กซ์คลูซีฟ และหรูหราแบบเต็มพิกัดไปได้เลยค่ะ เพราะล่าสุดสำหรับทริปล่องเรือสำราญ Oceania Riviera ขนาดความสูง 15 ชั้น ของคุณวิกกี้และเพื่อนๆบอกเลยว่าไม่ธรรมดา เริ่มกันที่เรือสำราญ Oceania Riviera ที่จอดรอเราอยู่ที่ริมฝั่งมหาสมุทรในบาร์เซโลนามาตั้งแต่ก่อนบ่าย ระหว่างที่เรากำลังเตร็ดเตร่อย่างไม่รีบร้อนกันในบาร์เซโลนาตอนช่วงเช้า ก่อนจะใช้เวลาที่เหลืออีก 10 วันบนโรงแรมลอยน้ำแห่งนี้ จากบาร์เซโลนา เรือลำนี้จะพาเราล่องไปตามทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จอดให้เราขึ้นฝั่งในเมืองต่างๆ แล้วส่งเรากลับบ้านที่เอเธนส์ เป็น 10 วันของการรีชาร์จพลังที่เต็มอิ่มไปร่างกายและหัวใจ
กี้ติดใจการเที่ยวแบบนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่คุณพ่อชวนไปทริปครูซรอบเกาะอังกฤษ และพบว่ามันเป็นการเดินทางที่วิเศษมาก เพราะบางจุดที่เรือแวะจอดให้ขึ้นฝั่ง และเป็นจุดที่ไปเองได้ด้วยรถไฟหรืออื่นๆ ก็จะไปกันด้วยความสนุกสนาน เมื่อคิดว่าจะจัดทริปที่มีคุณพ่อคุณแม่และเพื่อนๆ ที่มีไลฟ์สไตล์แบบเดียวให้ได้ใช้เวลาด้วยกันแบบยาวๆ ครูซนี่แหละเหมาะที่สุดในยามนี้
ความเป็นคนชอบจัดแจง เมื่อรวมทริปกันได้ 15 คน กี้จัดบรีฟพิเศษเพื่อให้ทุกคนได้มาเจอกันก่อนลงเรือเพื่อคุยเรื่องทริปกันอย่างจริงจัง สร้างบรรยากาศให้อินตั้งแต่ก่อนไปด้วยการตกแต่งห้องดินเนอร์ที่มีกลิ่นอายของทะเล ทำกระเป๋าระบุชื่อของแต่ละคนเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียว แค่ก่อนไปก็สนุกแล้ว
แม้เรือจะออกจากท่าในตอนเย็น และเลือกไฟลต์เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปถึงบาร์เซโลนาตอนเช้าก็ทำได้ แต่เพื่อป้องกันการฉุกละหุกหรือข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ เราจึงวางแผนไปนอนค้างที่บาร์เซโลนากัน 1 คืนจะดีกว่า ทุกแพลนเป็นไปอย่างราบรื่นด้วยตัวแทนที่ช่วยจัดทริปให้เราอย่าง Deck9 ด้วยโจทย์ของการเดินทาง ที่อาหารต้องดีเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนวิวนั้นขึ้นชื่อว่าเมดิเตอร์เรเนียน ไม่มีอะไรต้องสงสัยกันอีกแล้วว่าสวยแค่ไหน
ก่อนที่เรือจะออกจากท่าในเวลา 6 โมงเย็น เราต้องขึ้นเรือก่อนเวลาเพื่อทำความรู้จักกันก่อน ทั้งฟังบรีฟต่างๆ เกี่ยวกับการเดินทาง 10 วันหลังจากนี้ รู้จักทุกซอกทุกมุมของเรือ รวมไปถึงเรื่องการซักซ้อมความปลอดภัยเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เมื่ออยู่บนเรือ เราจะได้รับคีย์การ์ด 1 ใบที่รวมทุกสิ่งอำนวยความสะดวกเอาไว้ในนี้ รวมถึงการจับจ่ายที่เชื่อมกับบัตรเครดิตเราเอาไว้แล้ว เว้นเสียแต่ว่าเราอยากจะได้บริการอะไรเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่บัตรครอบคลุม ตรงนั้นก็ต้องจ่ายเพิ่มเอาเอง

ทุกคนรวมตัวกันอยู่บนดาดฟ้าเรือตอนที่ Oceania Riviera ค่อยๆ พาเราห่างออกจากฝั่ง พร้อมๆ กับแสงยามพลบค่ำที่ค่อยๆ หรี่ลงและมืดสนิทเมื่ออยู่กลางมหาสมุทร ต่างจากภายในลำเรือที่เหมือนไม่เคยมีกลางคืน โดยเฉพาะร้านอาหารสัญชาติต่างๆ ที่เป็นเหมือนสวรรค์ของคนชอบอาหารอร่อยๆ ที่มีให้เราเติมเต็มกันได้ทั้งวัน
ห้องพักของเราเป็นแบบเพนต์เฮาส์ที่มีห้องนั่งเล่น ระเบียง และห้องส่วนตัว ความสุขของการเที่ยวแบบนี้คือเราไม่ต้องคอยรื้อและเก็บกระเป๋าใหม่ ตื่นมากินอาหารเช้าในห้องตัวเองที่มีบัตเลอร์จัดมาให้ถึงที่ และได้พบกับสถานที่ใหม่ๆ ทุกวัน เช่นในเช้าวันแรกเราก็มาถึงโปรวองซ์ ซึ่งเรือจะเข้าท่าที่มาร์แซย์โดยเป็นหมู่บ้านประมงเล็กๆ ริมทะเล แต่ละเมืองที่ไปถึงทางเรือจะจัดเส้นทางให้นักท่องเที่ยวเลือกชม เช่น เส้นทางชมเมือง เส้นทางชมสถาปัตยกรรมเมืองเก่า พระราชวัง เส้นทางชมธรรมชาติ ที่แต่ละเส้นทางจะใช้เวลาต่างกัน

ด้วยความที่มีครอบครัวไปด้วย และไลฟ์สไตล์ที่ชอบการเดินชมเมืองและเที่ยวตลาดแบบเบาๆ ของตัวเองอยู่แล้ว ทำให้กี้เลือกทริปในเมืองแบบง่ายๆ ที่ใช้เวลาไม่นานนัก ส่วนใหญ่คือการเดินเล่นและไปนั่งกินอาหารในร้านอร่อยๆ ที่หาข้อมูลและจองเอาไว้แล้วล่วงหน้า เช่นที่มาร์แซย์เราไปเดินเล่นกันในเมืองแคสซี เมืองน่ารักที่มีไอศกรีมรส Cassi ตามชื่อเมือง ซึ่งไอศกรีมรสนี้จะมีแต่ที่เมืองนี้เท่านั้น เป็นรสคล้ายๆ ราสพ์เบอร์รีแต่หอมกลิ่นสมุนไพร สักช่วงบ่ายเราก็กลับขึ้นเรือที่มีกิจกรรมให้เราทำได้ทั้งวัน อาจจะไปนวดสปา ฟังเพลง เข้าคลาสเรียนทำอาหาร เล่นเกม ออกกำลังกาย หรือแม้แต่แค่การอยู่บนเรือเฉยๆ ก็มีความสุขมากแล้ว
เมืองที่กี้ชอบที่สุดอยู่ในวันที่ 2 เมื่อเรือเข้าฝั่งที่ท่าฟลอเรนซ์ในฝรั่งเศส ซิงเกอเทอเรเป็นหมู่บ้านประมงริมทะเลที่ชาวเมืองจะสร้างบ้านสีสันคัลเลอร์ฟูลลดหลั่นกันไปตามไหล่เขา เป็นภาพที่มองเห็นเด่นชัดตั้งแต่อยู่บนเรือ เราเดินเล่นกันตามหมู่บ้านที่มีนักท่องเที่ยวและร้านรวงขายของกระจุกกระจิกริมทาง ถ้าจะให้มาเมืองนี้ทางรถคงต้องอาศัยลูกอึดเท่านั้น การมาด้วยครูซแบบนี้จึงสะดวกสุด

เมื่อเข้าสู่โรม เราจึงไม่มีอะไรทำกันมากนัก นอกจากเช่ารถส่วนตัวไปยังร้านอาหารที่จองเอาไว้แล้วช็อปปิ้งกันตามระเบียบ ช่วงสองสามวันนี้เราค่อนข้างใช้เวลาไปกับการช็อปปิ้งมากหน่อย เพราะหลังจากออกจากโรม เราไปขึ้นท่ากันที่คาปรี นั่งรถแท็กซี่เปิดประทุนอันเป็นเอกลักษณ์ของเมือง แล้วตกอยู่ในวังวนของการช็อปปิ้งในช็อปที่การออกแบบจะต่างจากที่อื่น ซึ่งคงไม่มี Prada ที่ไหนที่จะมีที่ตั้งของร้านอยู่บนหน้าผาริมทะเล หรือพนักงานขายในร้าน Hermès ใส่ชุดกางเกงขาสั้น ทุกร้านที่เป็นลักซ์ชัวรีแบรนด์จะมีความพิเศษต่างจากที่อื่น และมีการออกคอลเลกชั่นที่อิงกับความเป็นคาปรีโดยเฉพาะ เช่น งานถักงานสานบนกระเป๋า Prada นอกจากงานแบรนด์เหล่านี้แล้ว พวกเราอดใจไม่ได้กับสินค้าเซรามิกพวกจานชามที่ทั้งดีไซน์และลวดลายน่ารักไปหมด จนขนกลับกันมาไม่น้อย

เทาร์มินาเป็นเมืองเก่าแสนน่ารักที่อยู่ในซิซิลี แต่ในความเก่านั้นก็มีความน่ารักร่วมสมัยด้วยงานศิลปะ ซึ่งผสมผสานและปรากฏอยู่ตามมุมต่างๆ ของเมือง เช่นเดียวกับข้าวของที่ขายเป็นงานแฮนด์คราฟต์ที่เห็นตัวตนของเมืองซ่อนอยู่ในนั้น ทุกเมืองที่มีประวัติศาสตร์จะมีความน่ารักเฉพาะตัวอยู่เช่นเดียวกับเมืองวาลเลตตา ในมอลตา ที่เราขึ้นฝั่งในวันต่อมา ก็มีประวัติศาสตร์รายล้อมอยู่ในทัศนียภาพของเมืองที่สงบและสวยงาม
เราเข้าสู่กรีซในสามวันสุดท้ายของทริปนี้ นอกจากภาพคุ้นตาของเมืองสีฟ้าขาวในซานโตรินีที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ เราเลือกที่จะไปชิมไวน์กันที่ไร่องุ่นด้วย ขนาดของไร่ไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่ด้วยอากาศที่เย็นกำลังดี กับการจิบไวน์ในสวน ก็ทำให้วันนี้ต่างไปจากทุกวัน

เรือพาเราไปถึงเมืองโรดส์ เมืองที่มีป้อมปราการเก่าแก่เป็นแลนด์มาร์คสำคัญ แต่เราเลือกที่จะไปเดินตลาดเพื่อสัมผัสบรรยากาศแบบคนท้องถิ่นที่เมืองนี้แทน ก่อนจะกลับมาขึ้นเรือเพื่อเตรียมปาร์ตี้ส่งท้ายในคืนสุดท้ายบนเรือ ที่จริงทุกๆ มื้อเย็นพวกเราจะมากินข้าวและแต่งตัวกันตามที่มีในธีม แต่คืนนี้พิเศษหน่อยจึงแต่งตัวแบบจัดเต็มกว่าทุกวัน ในดินเนอร์แบบเชฟเทเบิลที่เชฟทุกคนจะมีพรีเซนต์อาหารที่เสิร์ฟมาในแต่ละคอร์ส การได้ฟังเชฟเล่าเรื่องบนจานให้ฟังแบบนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความพิเศษและความพิถีพิถันในรายละเอียดของการบริการบนเรือลำนี้อย่างสมราคา
เราจบท้ายทริปกับบนเรือ Oceania Riviera กันที่เอเธนส์ ความยิ่งใหญ่ของเมืองนี้ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะยอมเหนื่อยในการปีนป่ายขึ้นไปชมวิหารพาร์เธนอนบนอะโครโพลิส ที่แม้จะสูงและดูจะไปได้ลำบากสำหรับคนสูงอายุ แต่คุณพ่อก็ไม่ยอมแพ้ เราสองพ่อลูกและเพื่อนๆ เดินฝ่าขึ้นไปพร้อมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ

มากกว่า 1 ปีแล้วหลังจากเรานั่งเครื่องที่เอเธนส์กลับมายังเมืองไทย เมื่อเปิดรูปนี้ขึ้นมาดูทีละรูปขณะเล่าเรื่องนี้ กี้เห็นแววตาที่มีความสุขของตัวเองกับครอบครัว และเพื่อนๆ ในช่วง 10 วันนั้น เพราะมันคือ 10 วันที่เราตัดขาดตัวเองออกจากโลกใบเดิมยามไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ได้รีชาร์จตัวเองเต็มที่กับการไม่ต้องทำอะไร แค่ปล่อยตัวเองให้ไหลไปตามโปรแกรมที่วางเอาไว้ ได้ใช้เวลาดีๆ กับคนที่เรารักอย่างเต็มที่โดยไม่มีใครปลีกหนี ไปไหนได้เพราะเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว
และถ้าเป็นไปได้ เราน่าจะมีทริปที่พร้อมหน้าครอบครัวและเพื่อนที่รักใคร่แบบนี้กันอีกทุกปี
…………………………………………..
Travel Tips : Where to Eat
Monterosso al Mare ที่เมืองซิงเกอเทอเร มีรีซอตโตอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา ช่วงเที่ยงจะมีคนมาต่อคิวยาวเหยียด แต่เมืองนี้ค่อนข้างไปลำบากถ้าไปทางบก
Strofi Athenian Restaurant ร้านอาหารกรีกในเอเธนส์ที่เปิดมา 40 กว่าปีแล้ว อยู่ใกล้กับอะโคร
โพลิสที่มองออกไปจะเห็นวิวอลังการ ส่วนอาหารและไวน์นั้นดีสุดๆ
Ristorante al 34 เป็นร้านน่ารักที่อยู่ในย่านเมืองเก่าของโรม และร้านก็เก่าแก่มากเพราะเปิดมาตั้งแต่ปี 1968 ถ้าชอบอาหารอิตาเลียน พาสต้าทุกจานของร้านนี้ไม่มีผิดหวังแน่นอน