คำถามที่ต้องตอบอยู่เป็นประจำสำหรับคนที่พึ่งรู้จักกันกับ”คำถามที่ว่าผมหลงใหลการขี่ม้ามาตั้งแต่เมื่อไร”ถ้าผมจะต้องตอบกันตรงนี้อีกสักครั้งหนึ่งก็ต้องบอกว่า”เกิดมาก็ได้เห็นฝูงม้าแล้ว” เนื่องจากต้นตระกูล ‘สโรบล’ ของหมอปอนั้นมีความผูกพันกับม้ามาอย่างยาวนานตั้งแต่บรรพบุรุษซึ่งยังได้บอกอีกว่าทุกคนในตระกูลโดยเฉพาะผู้ชายต้องขี่ม้าเป็นหมดซึ่งอาจเรียกได้ว่าม้าคือส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้วก็ว่าได้
‘หมอปอ-รศ.นพ.นพดล สโรบล’
‘หมอปอ-รศ.นพ.นพดล สโรบล’นอกจากจะขี่ม้าเป็นงานอดิเรกแล้วก็ได้ซื้อที่ที่เขาใหญ่ เพื่อทำฟาร์มเลี้ยงม้าชื่อ ‘ฟาร์มหมอปอ’ มาได้เจ็ดแปดปีแล้วก่อนที่จะเปิดเป็นฟาร์มให้ผู้ที่สนใจเข้าชมเมื่อราวสามถึงสี่ปีที่ผ่านมาเมื่อห้าหกปีก่อน ‘หมอปอ’เริ่มสนใจกิจกรรมขี่ม้าท่องเที่ยวในต่างประเทศ เมื่อได้สัมผัสกับกิจกรรมแบบนั้นก็ยิ่งทำให้รู้สึกสนุก และพยายามจัดทริปขี่ม้าในต่างประเทศกับเพื่อนๆอยู่เป็นประจำ โดยตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะมีกิจกรรมเช่นนี้สักปีละสองครั้งประเทศที่เลือกไปนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นดินแดนที่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับม้าเป็นสำคัญอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นไอซ์แลนด์ ปาตาโกเนีย สเปน มองโกเลีย หรืออินเดีย ที่ผมเคยได้ไปมาโดยแต่ละประเทศก็จะเลี้ยงม้าไว้ต่างสายพันธุ์เพื่อวัตถุประสงค์ของการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย อย่างในประเทศไหนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อของม้าแล้วละก็คงหนีไม่พ้น ม้าสายพันธุ์”สเปน”เป็นม้าสายพันธุ์ดั้งเดิม ลักษณะสวย มีท่วงทีสง่างาม และเป็นม้าของกษัตริย์ ม้าสายพันธุ์นี้เป็นต้นตระกูลของม้าส่วนมากในโลกนี้ อย่างม้าของสหรัฐอเมริกาเองก็เป็นม้าที่เรียกได้ว่ามาจากสเปนทั้งสิ้น
หมอปอพาทัวร์ชมยีราฟบนหลังม้า
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาหมอปอได้ออกทริปขี่ม้าอีกครั้งหนึ่งที่”แอฟริกา”ดินแดนสวรรค์ของคนชอบคลุกคลีอยู่กับธรรมชาติ แอฟริกาเป็นทริปขี่ม้าในฝันของหมอปอเลยก็ว่าได้เพราะเป็นการขี่ไปในซาฟารีซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับการนั่งรถจี๊ปเพื่อชมสัตว์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นยีราฟ ม้าลาย กวาง แต่ที่ดึงดูดมากที่สุดคือ บรรดาสัตว์ดุร้ายอื่นๆ มันทำให้คุณหมออยากจะรู้ว่าการขี่ม้าในทุ่งซาฟารีแล้วมีสิงโตวิ่งมาจะเป็นความรู้สึกแบบไหน
ภาพบรรยากาศในการแคมป์ที่พักในอุทยานที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
การขี่ม้าเป็นกิจกรรมผจญภัยอยู่แล้ว ทุกครั้งที่ออกทริปเช่นนี้พวกเราต้องไปนอนใน’แคมป์‘อาจไม่ได้รับความสะดวกสบายเท่ากับการไปเที่ยวและพักในโรงแรม เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกในบางแห่งอาจจะมีได้ไม่พร้อมนัก แต่กับการขี่ม้าที่แอฟริกากลับไม่เป็นแบบนั้น แน่นอนละว่าเรายังต้องนอนแคมป์ใช้ชีวิตกลางป่าแต่การดูแลที่เราได้รับกลับเหนือความคาดหมายจนบางครั้งผมออกจะเขินๆ เสียด้วยซ้ำ ที่ได้รับการดูแลอย่างดีตามธรรมเนียมของชาวผู้ดีอังกฤษ ‘Limpopo Horse Safaris‘ คือบริษัทที่รับจัดทัวร์ขี่ม้าในแอฟริกาใต้ หมอปอได้เข้าไปดูรายละเอียดในเว็บไซตซ์ของเขาก็เห็นว่าน่าสนใจ ซึ่งในเว็บบอกเอาไว้เลยว่าคนที่จะขี่ม้าในทริปนี้ได้จะต้องเป็นคนที่ขี่ม้าเก่งมาก เพราะอาจจะต้องควบหนีสิงโต หรืออาจมีสถานการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นได้ หากมีอะไรเกิดขึ้นม้าของเขาสามารถเอาตัวรอดได้อยู่แล้วหน้าที่ของเราซึ่งอยู่บนหลังม้า คือต้องประคองตัวอยู่บนหลังม้าให้ได้แบบไปไหนก็ไปกันกับม้าเป็นพอ เมื่อม้าจะกระโดดข้ามท่อนไม้เราก็ต้องยึดตัวอยู่บนหลังม้าไว้ให้ได้ ข้อมูลที่อ่านแล้วเห็นภาพ แบบนี้ยิ่งทำให้คุณหมอปอเกิดนึกสนุก และตัดสินใจซื้อทัวร์จากที่นี่ บริษัททัวร์แห่งนี้ก่อตั้งโดยชาวอังกฤษที่ไปตั้งรกรากอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน และเป็นธรรมดาของคนอังกฤษที่จะชอบขี่ม้าอยู่แล้ว จึงจัดทัวร์แบบนี้ขึ้นในอุทยานส่วนตัวซึ่งมีอยู่นับหมื่นไร่ มีสัตว์ทุกชนิดอยู่ในอุทยานนั้น และมีคนทำงานเป็นคนพื้นเมืองซึ่งในทริปนี้เราจะได้ขี่ม้าในสองประเทศ คือ’แอฟริกาใต้‘ กับ ‘บอตสวานา‘ โดยจะเริ่มจากขี่ม้าในแอฟริกาใต้ก่อนจากนั้นจึงนั่งรถข้ามพรมแดนไปยังประเทศบอตสวานาซึ่งอยู่ติดกันทางตอนเหนือของแอฟริกาใต้ และไปพักพร้อมขี่ม้าที่นั่นต่อ
ฝูงวิลเดอบีสต์กำลังเล็มหญ้าอย่างสบายใจ
แคมป์แรกในแอฟริกาใต้ ชื่อว่า’แคมป์เดวิดสัน‘ เป็นแคมป์ที่จัดว่าค่อนข้างหรูหรามีที่หลับที่นอนพร้อมเพรียงแต่ละเต็นท์จะนอนกันได้สองคน โดยมีเต็นท์กลางซึ่งเป็นเต็นท์สำหรับสันทนาการและรั[ประทานอาหารตามธรรมเนียมชาวอังกฤษ อาหารสามมื้อเสิร์ฟเป็นคอร์สเช่นเดียวกับในโรงแรม ทุกๆมื้อแม่ครัวจะมายืนประกาศว่าเมนูที่จะเสิร์ฟเรานั้นมีอะไรบ้างพอตกบ่ายมี English Tea ที่เสิร์ฟชากาแฟร้อนๆให้นั่งดื่มด่ำท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติ ส่วนในทุกเช้าจะมีชากาแฟมาเสิร์ฟที่เตียงเหมือนเป็น wake up call ในทุกๆวันอีกด้วย ส่วนห้องอาบน้ำของแคมป์จะมีลักษณะคล้ายในหนัง’Out of Africa‘ที่จะมีคนเอาน้ำอุ่นมาเทใส่ลงในกรวยที่แขวนอยู่เหมือนเป็นการอาบน้ำฝักบัว เพราะช่วงที่เราไปอากาศค่อนข้างหนาวกลางวันจะคล้ายกับเราอยู่ในห้องแอร์แต่พอตกกลางคืนนั้นอุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณห้าองศาเซลเซียส ทุกคืนก่อนนอนเขาจะนำกระเป๋าน้ำร้อนมาให้ซึ่งมันทำให้หมอปอคิดถึงสมัยตัวเองเป็นเด็ก ในตอนกลางคืนที่แคมป์จะมืดสนิทจึงมีกฎอยู่ว่า”ห้ามไปไหนมาไหนคนเดียว หรือหากจะไปจะต้องมีคนของเขาไปด้วย”เพราะไม่รู้ว่าจะมีสัตว์อะไรซ่อนตัวอยู่ตรงไหนหรือเปล่า
เพื่อนร่วมทริปของหมอปอขณะพาอาสาคู่ใจไปกินน้ำที่ลำห่วย
เราได้ขี่ม้ากันสองวันซึ่งทั้งสองวันนั้นจะเป็นม้าตัวเดียวกันที่ทางแคมป์จัดเอาไว้ให้ตามที่ให้เรากรอกรายละเอียดไปทางอีเมลว่า”เรามีน้ำหนักตัวเท่าไร,ทักษะการขี่เป็นอย่างไร,ขี่มานานแค่ไหนแล้ว”เมื่อไปถึงเขาก็จะให้เราขี่ทดสอบให้ดูอีกครั้งเพื่อให้เห็นกับตาว่าเราขี่ได้จริงไหม ‘แอฟริกาใต้‘นับว่าเป็นทริปที่สนุกมากเราได้เห็นยีราฟ,ม้าลายเห็นสัตว์ต่างๆ เล็มหญ้าอยู่ในซาฟารี แต่ไม่มีสัตว์อันตรายออกมาให้เห็นซึ่งหมอปอยังแอบหวังในใจว่าเราอาจได้เจอสิงโตบ้างใน ‘บอตสวานา‘ ใช้เวลาราวสี่ชั่วโมงในการเดินทางจากแคมป์เดวิดสัน ไปยัง’ลิมโปโป ฮอร์ส ซาฟารี‘ ในบอตสวานาแคมป์นี้มีชื่อว่า Two Mashatus ที่ยังมีการดูแล และอำนวยความสะดวกให้พวกเราชาวแคมป์เช่นเดียวกับที่แอฟริกาใต้ทุกประการ มีอาหารให้รับประทานเต็มคอร์ส และดูเหมือนว่าเราจะได้ขี่ม้ามากขึ้นกว่าเดิมอีกเมื่อมาอยู่ที่นี่โดยหมอปอเล่าว่า ทุกเวลาที่ออกขี่ม้าเราจะต้องขี่เป็นแถวเรียงกันมีคนนำสองคนคอยนำหน้าและประกบท้ายซึ่งทำหน้าที่ไกด์ไปด้วยทั้งสองคนจะมีปืนไรเฟิลและแส้เป็นอาวุธ เราบังคับม้าให้มุ่งไปบนเส้นทางในทุ่งโล่งที่มีต้นไม้มีหนามซึ่งเป็นอาหารที่ยีราฟชอบกินในทุ่งนั้นมีไม้พุ่มขึ้นอยู่ประปรายท่ามกลางหญ้าแห้งๆ สีน้ำตาล เราขี่กันด้วยความสนุกไม่มีความรู้สึกหวั่นกลัวใดๆเลย แม้จะเป็นการขี่ไปในทุ่งที่มีสัตว์อันตรายอยู่ เมื่อเราอยู่บนหลังม้าเราเคลื่อนไหวกันด้วยความเร็วหลายจังหวะโดยเฉพาะ’การควบ’เป็นสิ่งที่พวกเราในกลุ่มโปรดปรานกันมากคอยถามไกด์ตลอดว่าควบได้ตอนไหนบ้างบางช่วงก็ได้กระโดดข้ามท่อนไม้ที่ไกด์ก็คอยมองหาตามเส้นทางเพื่อให้เราได้กระโดดกันที่บอตสวานาเราจะขี่ม้ากันแทบทั้งวัน มีการขี่ย้ายจากแคมป์หนึ่งไปแคมป์หนึ่งด้วย
ฝูงสิงโตตัวเมียนอนเอกเขนกใต้ร่มไม้มีให้เห็นจนชินตาในแถบแอฟริกา
บางวันเราต้องขี่กันไกลถึงสามสิบห้ากิโลเมตรนานกว่า 5 ชั่วโมงซึ่งจะบอกว่าไม่เหนื่อยไม่ล้าเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อมาแล้วก็ต้องไปให้สุดสิ่งที่ทำให้หมอปอประทับใจแคมป์ที่บอตสวานามากกว่าก็คงจะเป็นเพราะที่นั่นมีสัตว์ใหญ่ให้เห็นมากกว่า มีบิ๊กไฟว์ที่เลื่องลือของซาฟารี และยังมีสิงโตที่แม้เราจะไม่เจอขณะที่นั่งอยู่บนหลังม้าแต่ก็มีโอกาสได้เห็นขณะนั่งบนรถจิ๊ปไปดูอีกครั้งตามเส้นทางเดิมกับการขี่ม้า
ไฮยีนา นอนหลบแสงแดดในอุโมงค์ก้อนหินเพื่อรอเวลาหากินยามค่ำคืน
มีแคมป์หนึ่งแคมป์ที่หมอปอประทับใจมากเป็นแคมป์ที่เราต้องนอนกันกลางแจ้งบนเตียงที่วางอยู่บนลานดินไม่มีหลังคานอกจากเงาต้นไม้ขนาดใหญ่พอมองขึ้นไปเห็นดวงดาวส่องแสงระยิบมีรั้วเป็นไม้เก่าๆ กั้นบริเวณเอาไว้แต่ก็เตี้ยชนิดที่เรียกว่า หากสิงโตจะกระโดดข้ามรั้วเข้ามาก็ทำได้ง่ายมากที่นั่นเราได้ยินเสียงสิงโตคำรามอยู่ทั้งคืน(เป็นเสียงตัวผู้ร้องเรียกหาตัวเมีย) แม้จะอยู่ไม่ไกลแคมป์เราเท่าไรแต่เขาก็ไม่เข้ามายุ่งกับเรา หรือหากจะยุ่งจริงๆเหยื่อของมันก็คงจะเป็นม้าก่อนที่จะมาถึงตัวเรา ซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่เราไม่ต้องประสบกับเหตุการณ์อะไรแบบนั้น ซึ่งเอาเข้าจริงจากที่นึกภาพเอาไว้ว่าเราคงจะได้เจอเรื่องราวผจญภัยบนหลังม้าในทุ่งซาฟารีทุกวันเป็นแน่แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย มีเพียงแต่ความราบรื่นขณะขี่ม้ากันอย่างสนุกสนานเท่านั้น เหตุผลหนึ่งที่เราไม่เจอพวกสัตว์ดุร้าย อาจเป็นเพราะว่าสัตว์เหล่านี้เป็นสัตว์หากินกลางคืนอยู่แล้ว จึงไม่ได้ออกมาให้เราเห็นอย่างที่เราตั้งใจไว้ในแผน
เสือดาวย่างกรายไปตามพุ่มไม้และหญ้าแห้งประหนึ่งกำลังจับจ้องเหยื่อ
ความประทับใจในทริปขี่ม้าครั้งนี้ของหมอปอ ไม่ได้มีแค่เพียงการได้สูดสายลม ชมสัตว์ป่าไปบนหลังม้าเท่านั้นแต่รวมถึงความเป็นมิตรที่ได้รับการดูแลจากคนพื้นเมืองที่นั่น ดีมากและหมอปอยังทิ้งท้ายอีกว่าจะต้องกลับไปอีกให้ได้