Home > Lifestyle > Travel > ตาม ดร.ศิวัสน์ เล่นสกีสุดเอ็กซ์ตรีม ที่ชาโมนีซ์ ฝรั่งเศส

หลายๆคนอาจมีกีฬาสุดโปรดที่วีคแอนด์ไหนๆก็ไม่พลาดต้องฟิตแอนด์เฟิร์มร่างกายกันตลอด โดยเฉพาะกีฬากลางแจ้งประเภทต่างๆที่แสนจะท้าทายและดึงดูดใจให้เราต้องออกเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆอยู่เสมอโดยเฉพาะใครที่ชื่นชอบกีฬาเอ็กซ์ตรีมแบบการเล่นสกีอย่าง ดร.ศิวัสน์ เหลืองสมบูรณ์ จะต้องหลงรักการสกีไปบนพื้นหิมะที่ชาโมนีซ์ ประเทศฝรั่งเศสแน่นอน

โดย ดร.ศิวัสน์ ได้เล่าเรื่องราวประสบการณ์การสกีให้เราได้ฟังว่า

ดร.ศิวัสน์ เหลืองสมบูรณ์

“ผมไม่ได้เป็นคนชอบกีฬาเอ็กซ์ตรีมหรือกิจกรรมผาดโผนนักแต่มีกีฬาหนึ่งที่ต้องยกเว้นเอาไว้เพราะเมื่อได้ลองเล่นสกีครั้งแรกที่สวิตเซอร์แลนด์เมื่อราวหกเจ็ดปีก่อนก็กลายเป็นว่าผมชอบใจช่วงเวลาที่อยู่บนสกีเกียร์เอามากช่วงเวลาขณะนั้นผมรู้สึกถึงความอิสระได้ปลดตัวเองจากชีวิตประจำวันในกรุงเทพฯ ความท้าทายใหม่ๆของการเล่นสกีนั้นมีเข้ามาอยู่เรื่อยๆ การเปลี่ยนสกีรีสอร์ตทำให้เราสนุกกับการสกีไปบนพื้นหิมะ แต่ละที่ก็ให้วิวทางสายตาที่แตกต่าง จากการสกีไปบนเส้นทางที่ทำขึ้นเพื่อการสกีโดยเฉพาะ ที่แต่ละเส้นทางมีสีเป็นตัวกำหนดระดับความยากของความชัน คือกรีน บลู เรด แบล็ก ขึ้นกับว่าทักษะของคนเล่นจะเหมาะกับความยากระดับไหน

เมื่อผ่านระดับความยากเหล่านั้นมาได้แล้ว ผมก็ขยับไปสู่การสกีที่ไม่ได้เล่นอยู่ในเส้นทางที่ทำขึ้นเพื่อรองรับการเล่นอย่างเป็นกิจจะ หรือที่เรียกว่า ออฟพิสต์ (Off-Piste) เราสามารถสกีได้อย่างอิสระ ไม่มีการจำกัดเส้นทาง แต่เราต้องรับผิดชอบความปลอดภัยด้วยตัวของเราเอง และการเล่นสกีในแบบนี้ที่ชาโมนีซ์ (Chamonix) ฝรั่งเศส ก็ถูกใจผมที่สุดจนต้องไปซ้ำรอบสอง

จุดชมวิวกรองส์โมเตต์ส เป็นเทือกเขาที่อยู่ด้านหนึ่งของชาโมนีซ์

ผมไปสกีที่ชาโมนีซ์ครั้งแรกเมื่อช่วงวันหยุดยาวเดือนเมษายนปีที่แล้ว และอีกครั้งคือช่วงเดียวกันของเดือนเมษายนปีนี้ ชาโมนีซ์เป็นเมืองที่มีความพิเศษสำหรับคนที่ชอบกิจกรรมสนุก เดินทางง่าย แต่เส้นทางสกีไม่ธรรมดา โดยเฉพาะส่วนออฟพิสต์ที่อยู่บนวาลเลบลองช์ (Vallee Blanche) ธารน้ำแข็งซึ่งสูงที่สุดแห่งหนึ่งในเทือกเขาแอลป์

ความง่ายของการเดินทางคือเราเพียงนั่งเครื่องบินจากเมืองไทยไปลงที่ซูริคแล้วต่อเครื่องไปลงเจนีวา จากนั้นนั่งรถต่อไปที่ชาโมนีซ์โดยใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงเดียว ชาโมนีซ์มีขนาดเทียบได้กับเมืองท่องเที่ยวเมืองหนึ่ง ที่มีคนพื้นที่อาศัยอยู่เป็นปกติ นอกจากสกีในฤดูหนาว ช่วงฤดูร้อนของที่นี่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวที่นิยมไปขี่จักรยานหรือปีนเขาจึงมีโรงแรมดีๆให้พัก มีร้านแบรนด์เนมหรู ร้านอาหารที่มีหลายระดับราคา มีร้านสะดวกซื้อ ไว้รับรองผู้คนที่เข้าไปเยือนได้ตลอดทั้งปี

วิวเมื่อมองออกไปด้านนอก

เราพักที่ชาโมนีซ์และเดินทางออกจากโรงแรมเพื่อไปยังสกีรีสอร์ตที่อยู่รอบๆ ตลอดห้าวันของทริป เพื่อเลือกเส้นทางสกีตามทักษะของทุกคนในทริป ความพิเศษข้อหนึ่งของชาโมนีซ์ก็คือโดยปกติแล้วสโลปสำหรับเล่นสกีในหลายแห่งทั่วๆ ไป จะมีสกีรีสอร์ตให้พักอยู่ข้างๆ ภูเขา และเราสามารถขึ้นไปเล่นได้เลย แต่ที่ชาโมนีซ์เราต้องพักอยู่ในส่วนของตัวเมืองซึ่งเป็นที่ราบ แต่ล้อมรอบเอาไว้ด้วยภูเขาทั้งสี่ด้าน และเราสามารถเล่นสกีบนภูเขานั้นได้ทั้งหมด เป็นจุดสกีที่ผมไม่เคยเห็นว่าจะมีที่ไหนสวยเท่านี้ ส่วนวาลเลบลองช์ที่ผมตั้งใจไปเล่นแบบออฟพิสต์นั้นอยู่เหนือบริเวณนี้ขึ้นไปอีก

ไต่เขาลงไปเพื่อเริ่มการสกีบนธารน้ำแข็งวาลเลบลองช์

ทุกๆ วันเราต้องนั่งรถออกจากตัวเมืองที่เราพักไปประมาณสิบนาทีเพื่อไปถึงจุดเล่นสกีแต่ละจุดหรือหากเราเล่นในบริเวณนี้จนเบื่อ ครูฝึกยังสามารถพาเราไปสกีที่คูร์มาเยอร์ (Courmayeur) ซึ่งอยู่ในฝั่งอิตาลีได้ และยังสกีต่อไปได้ถึงเวอร์เบียร์ (Verbier) จุดเล่นสกีอีกด้านหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ได้อีก ด้วยบริเวณนี้คือพรมแดนระหว่างสามประเทศ คืออิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส ที่ภูเขาทุกลูกมีความเชื่อมต่อกันทั้งหมด

ความที่สกีไม่ได้เป็นกีฬาที่อยู่ในชีวิตประจำวัน และมีเพียงปีละสองครั้งที่จะได้เล่นตามโอกาสที่เราเว้นจากงานได้ ทำให้ผมต้องเตรียมตัวพอสมควรก่อนถึงวันสกี ทั้งฟิตร่างกาย วิ่ง ฝึกสควอต เพราะเราต้องใช้กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังในการเล่น ขณะสกีเราต้องอยู่ในท่าที่ย่อเข่าและโน้มตัวไปข้างหน้าเป็นเวลานาน กล้ามเนื้อส่วนนี้จึงต้องแข็งแรง

เรื่องครูและเมาเทนไกด์นี้เป็นกฎที่สำคัญเพื่อความปลอดภัยสำหรับนักสกี เพราะการสกีไปบนธารน้ำแข็งนั้น เราจะไม่มีทางรู้ได้เองว่าช่วงไหนหรือเส้นทางไหนที่อาจมีรอยร้าวหรือเกิดการแตกของแผ่นน้ำแข็งที่เรามองไม่เห็นเพราะจะมีหิมะลงไปอุดไว้ หากเล่นด้วยตัวเองแล้วเกิดผ่านไปตรงจุดนั้นแล้วเกิดแผ่นน้ำแข็งแตกพอดี นั่นหมายถึงเราจะตกลงไปในเหวน้ำแข็งที่อยู่ด้านล่าง

ธารน้ำแข็งวาลเลบลองช์ ซึ่งมีความยาว 20 กิโลเมตร ถ่ายย้อนกลับไปเมื่อตอนสกีเสร็จแล้ว และต้องเดินขึ้นบันไดเหล็ก 200 ขั้นเพื่อไปขึ้นเคเบิลคาร์อีกฝั่งหนึ่งกลับเข้าสู่เมืองชาโมนีซ์

สำหรับการขึ้นไปสกีบนธารน้ำแข็ง เราต้องว่าจ้างครูให้อยู่กับเราเพิ่มอีกหนึ่งวัน เพื่อวันแรกก่อนขึ้นไปเราจะได้ฝึกกันให้ชำนาญก่อน โดยครูจะพาเราไปสกีในบริเวณที่ยากมากๆ หรือบริเวณที่มีกองหิมะ หรือโมกูล (Mogul) อยู่เต็มไปหมด ฝึกให้เราเลี่ยงหรือผ่านจนถึงระดับที่เขาประเมินแล้วว่าเราสามารถทำได้ ซึ่งหากเราผ่านการเล่นในระดับนี้ไม่ได้ เขาก็จะพาเราขึ้นไปไม่ได้เช่นกัน

กีโยมนัดผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ขึ้นไปด้วยกันตอนแปดโมงเช้าที่จุดขึ้นเคเบิลคาร์เพื่อขึ้นไปยังไอกิลล์ดูมีดี (Aiguille du Midi) อันเป็นจุดเริ่มต้นของการสกีบนวาลเลบลองช์ ซึ่งมองไปทางไหนก็เห็นโพลนสีขาวของหิมะสุดลูกหูลูกตา สมกับความหมายของวาลเลบลองช์ที่แปลว่า ‘ภูเขาสีขาว’ และจุดปล่อยสกีของเรานั้นคือจุดที่ยากที่สุดและโหดที่สุดที่นักสกีขึ้นไปกัน

เมื่อลงจากเคเบิลคาร์ เราไต่ลงมายังจุดปล่อยสกีโดยเอาสกีเสียบไว้บนหลัง กีโยม ผม และคุณจักร เพื่อนผมที่ไปด้วยกัน เอาเชือกมาผูกตัวติดกันเพื่อดึงกันไว้ไม่ให้ใครตกลงไป ไต่ไปสักพักจนถึงจุดที่เป็นเหวและมีสโลปอยู่ด้านล่าง เราสวมสกีเข้ากับรองเท้าสกี แล้วผ่านโตรกเล็กๆ ลงไปทีละคนเพราะช่วงต้นทางยังแคบมาก

กีโยมนำขึ้นหน้าเราไป คุณจักรอยู่ตรงกลาง มีผมออกตัวรั้งท้าย เราสกีลงมาตามสโลปในไลน์เดียวกับที่กีโยมนำไป จุดที่เราเริ่มสกีเป็นส่วนที่อยู่ด้านในหุบเขาซึ่งคนทั่วไปจะไม่สามารถมองเห็นได้หากไม่ได้ขึ้นมาสกี หรือนั่งเฮลิคอปเตอร์ขึ้นมา จากด้านในเราค่อยๆ สกีออกมาเรื่อยๆ ตามทางเลี้ยวทางโค้งของแนวยอดเขา เส้นทางไม่ได้ราบลื่นนักเพราะมีอุปสรรคเป็นหินหรือเนินหิมะให้เราต้องหลบ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของการสกีบนเส้นทางธรรมชาติ ทำให้เราต้องมีสติกับการเล่น และเล่นอย่างตั้งใจ ถึงบางช่วงที่เป็นสโลปที่ไม่ยาก เราจึงจะละสายตาดูวิวให้เพลินๆ หรือหยุดถ่ายรูปได้

จุดชมวิวกรองส์โมเตต์ส ที่ความสูง 3,275 เมตร

วิวหุบเขากรองส์โมเตต์ส ถ่ายจากอีกเทือกเขาหนึ่งของชาโมนีซ์

ภาพที่เห็นเมื่ออยู่บนวาลเลบลองช์ คือวิวของเทือกเขาแอลป์ที่มียอดแหลมสลับซับซ้อน บางช่วงก็เป็นเนินหิมะกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา เป็นสามร้อยหกสิบองศาที่เราสามารถสกีได้หมดบนลานสกีที่ไม่ได้ทำทางเอาไว้ จนถึงจุดหนึ่งที่สกีต่อไปไม่ได้เพราะข้างหน้าคือเหว แต่สิ่งที่ทำเราตะลึงอยู่ตรงนั้นก็คือภูเขาอีกลูกของเทือกเขาแอลป์ซึ่งประจันหน้าเราอยู่อย่างอลังการ

แต่ต่อให้มีสมาธิดีแล้วก็ตาม ผมก็ยังพลาดท่าจนได้ถึงสองครั้ง ช่วงหนึ่งที่เราต้องผ่านทางที่ชันและขรุขระ ผมเกร็งสะโพกจนเกิดตะคริวจนล้มลง กับอีกครั้งที่ผมพลัดตกลงไปจากไลน์ที่กีโยมนำเอาไว้ ซึ่งเป็นจุดที่มีความต่างระดับและมีความชัน ยากที่จะกลับขึ้นไปบนไลน์เดิมได้ กีโยมซึ่งนำผมไปร้อยเมตร สกีกลับมาหาและทำน้ำเสียงดุดันเพื่อให้ผมกลับขึ้นไปให้ได้ แต่ที่สุดแล้วก็ไม่เป็นผลเพราะอันตรายมาก เราจึงต้องเปลี่ยนไลน์สกีเป็นอีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งเราไม่มีทางรู้แน่ว่าเราควรจะไปทางไหนหากไม่มีครูซึ่งเป็นทั้งไกด์ไปด้วยนำทางเราไป

กว่าจะสกีจนจบเส้นทางยี่สิบกิโลเมตร เราก็ใช้เวลาเกือบถึงบ่ายสอง จุดสิ้นสุดของเราคือจุดชมวิวที่นักท่องเที่ยวทั่วไปนั่งเคเบิลคาร์ขึ้นมาชมวิวอีกจุด และเราต้องนั่งเคเบิลคาร์นั้นกลับลงไปข้างล่าง ความยากลำบากทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นตรงนี้ เมื่อเราต้องเดินขึ้นบันไดอีกสองร้อยขั้นด้วยรองเท้าสกี ในขณะที่เพิ่งเหนื่อยจากการสกีมาตั้งแต่เช้า

จุดชมวิว Aiguille Summit ที่ความสูง 3,842 เมตร

หลังจากแยกย้ายสกีตามเลเวลของแต่ละคนตอนกลางวันทุกจะมากินข้าวพร้อมกันข้างๆสกีสโลป

แต่มันก็เป็นความเหนื่อยที่มีความสวยงามเหมือนสวรรค์ของเทือกเขาแอลป์เป็นการแลกเปลี่ยน ที่หากไม่ใช่เพราะสกีผมคงไม่ได้มีโอกาสขึ้นไปเห็น”

……………………………………………………………………..

เรื่องและภาพ : ดร.ศิวัสน์ เหลืองสมบูรณ์

Tags
travel
Never miss an update

Subscribe to our newsletter to get the latest updates.

No Thanks
You’re all set

Thank you for your subscription.