หลังจากมีลมหนาวสลับฝนมาเป็นระยะ ในที่สุดก็ถึงเวลาที่รอคอยเมื่อหิมะในเบอร์ลินยอมตกลงมาพบป่ะเราบ้าง…. ทริปนี้จึงเท่ากับเราเดินทางมาเพื่อชมเสน่ห์ของเมืองประวัติศาสตร์เป็นหลัก และถือว่าได้บรรยากาศดีๆ เป็นของแถม ท่ามกลางร่องรอยในอดีตของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ยังพบเห็นได้ในนครหลวงปัจจุบันของเยอรมนี

จากตำราเรียนประวัติศาสตร์ เรื่องการรวมตัวของเยอรมันตะวันตกฝ่ายประชาธิปไตย และเยอรมันตะวันออกฝ่ายคอมมิวนิสต์ในปี ค.ศ. 1990 ทำให้อดใจตามรอยชมสถาปัตยกรรมต่างๆ ในกรุงเบอร์ลินที่เห็นอยู่ในภาพประวัติศาสตร์บ่อยๆ ไม่ได้ แม้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปีสิ่งที่ถูกทำลายก็ได้รับการฟื้นฟูให้สมบูรณ์ดังเดิม แต่คราบรอยของสงครามก็ยังถูกเก็บรักษาไว้เป็นอนุสรณ์เตือนใจคนทั่วโลกถึงความโหดร้ายของสงครามได้เห็นเป็นระยะ เช่น เขตกั้นกำแพงเบอร์ลิน รอยกระสุนที่เสาและผนังสถานที่ราชการ

ซากโบสถ์ปรักหักพังที่ยังถูกใช้งานงานศิลปะที่สร้างขึ้นมาเป็นเครื่องเตือนใจแบบร่วมสมัยของ โบสถ์ไกเซอร์วิลเฮม (KAISER WILHELM MEMORIAL CHURCH) ในพอทสดัมสแควร์ เป็นอนุสรณ์ของสงครามอย่างแรกที่คอยเตือนใจทุกคนอยู่เสมอ ที่นี่สร้างข้ึ้นระหว่างปีค.ศ. 1891 – 1895 ออกแบบลักษณะแบบนีโอ-โรมาเนสค์เพื่อระลึกถึงจักรพรรดิวิลเฮมที่ 1 โบสถ์แห่งนี้ได้รับความเสียหายอย่างหนักในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กลายเป็นเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าอยู่พักหนึ่ง และกลับมาเป็นย่านที่ก้าวหน้าทันสมัยที่สุดอีกครั้งหลังกำแพงเบอร์ลินถูกทำลายลง แม้จะเป็นย่านรวมร้านค้าธุรกิจนำสมัย แต่บรรยากาศที่นี่ก็ยังเงียบสงบสำหรับผู้มาเยือนหน้าใหม่อย่างเราอยู่ดี ยิ่งพอได้เข้าไปด้านในโบสถ์ด้านในประดับด้วยแก้วสีน้ำเงิน ส่องสว่างยามต้องแสงแดด สวยงามและยิ่งใหญ่ชวนให้ต้องสงบจิตใจอยู่พักใหญ่

ก่อนมีเสียงกระซิบจากผู้นำทางปลุกให้ตื่นจากภวังค์แล้วพาให้เราไปพบกับความยิ่งใหญ่แห่งเสรีภาพที่รอเราอยู่ในเส้นทางข้างหน้าที่ ประตูบรานเดนบวร์ก (BRANDENBURG GATE) “กอร์บาชอฟ – จงทำลายกำแพงนี้ทิ้งซะ!” สุนทรพจน์อันลือลั่นและท้าทายของ โรนัลด์ เรแกน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในปี 1987 ที่เรียกร้องให้เกิดความเสรี ยังคงกึกก้องอยู่ในที่แห่งนี้ บวกกับปัจจัยอื่นๆ ในยุคสิ้นสุดสงครามทำให้หลังจากนั้น 2ปี ผู้คนก็สามารถเดินทางข้ามกำแพงมารวมตัวกันอย่างไม่แบ่งสัญชาติ จุดเช็คพอย์ท์อยู่ที่ีเทพีแห่งชัยชนะทรงม้า Triumphant Quadriga ประดับอยู่บนประตูเมือง ที่เคมมีกำแพงหนาขั้นกลางจตุรัส ตอนนี้กลายเป็นพื้นที่โล่งมีการจัดอีเวนท์สำคัญๆ อยู่เสมอ เช่นในช่วงเทศกาลปีใหม่ ทุกคนต้องมาจับจองพื้นที่ดูพลุไฟเคาน์ดาวน์กันที่นี่ ส่วนในวันธรรมดาเราเห็นบรรยากาศคึกครื้นกึ่งเฉลิมฉลองย่อมๆ ของนักดนตรี และนักแสดงสตรีทอาร์ต ที่ผลัดเปลี่ยนมาสร้างสีสันความสุขตลอดทั้งวัน


ในช่วงเย็นเราใช้เวลาอยู่กับร่องรองประวัติศาสตร์ที่ยังมีความรู้สึกนับล้านของผู้คนแฝงอยู่ นั้นคือรอยกำแพงเบอร์ลิน เริ่มที่ เช็คพอยท์ชาร์ลี จุดตรวจธรรมดาระหว่างตะวันตกและตะวันออกเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่มีกำแพงใหญ่กั้น ใกล้กันมรพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติควาามเป็นมาและวิธีหนีข้ามกำแพงแบบสุดโต่งของคนต้องการจะหนีไปยังความเจริญที่เยอรมันตะวันตก เช่น ขับรถฝ่าเข้าไป หรือ เสี่ยงวิ่งผ่านไปซึ่งๆ หน้า และที่นี่เกือบจะทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 จากความขัดแย้งของทหารอเมริกัน และรัสเชีย จนต่างฝ่ายต่างขนอาวุธ รถถังมาประจันหน้ากันที่ด่านนี้ทั้งสองฝั่ง สร้างความตึงเครียดไปทั่วโลก แต่ก็มีการเจรจาปรับความเข้าใจกันได้ในท้ายที่สุด ปัจจุบันจุดนี้ถูกปรับให้เป็นเช็คพอยท์ของนักท่องเที่ยว ที่สามารถเอาพาสปอร์มาแสตมป์วีซ่าเข้าออกเยอรมันตะวันตก -ตะวันออกเป็นที่ระลึกได้ รูปทหารเวรหนุ่มของฝั่งรัสเซีย และอเมริกา ที่อยู่ในเหตุการณ์ลุ้นๆ ข้างต้นก็ยังประดับอยู่เป็นอนุสรณ์ให้เรารำลึกถึง


ปิดท้ายวันกับการดินเลาะ อีสต์-ไซด์-แกลลอรี่ (EAST SIDE GALLERY) ศิลปะบนกำแพงเบอร์ลินที่เหลือทิ้งไว้ยาวกว่า 1.3 กิโลเมตร ที่นี่เปิดโอกาสให้ศิลปินจากทั่วโลก รวมถึงประชาชนทั่วไปได้มาสร้างงานศิลป์สื่อความรู้สึก เรื่องราวต่างๆ ในสงครามแทนคำพูด เราสามารถเดินได้ทั้งฝั่งตะวันออกที่เป็นส่วนของแกลเลอรี่ของศิลปินระดับโลก กว่า 101 ภาพ ภาพเขียนชื่อดังที่สุดของฝั่งนี้คือ The Mortal Kiss โดย Dmitri Vrubel ศิลปินชาวรัสเซีย เป็นภาพการจูบกันอย่างดูดดื่มระหว่างสองผู้นำคอมมิวนิสต์ ระหว่าง เลโอนิด เบรจเนฟ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต กับ อิริค โฮเนคเกอร์ ประธานาธิบดีเยอรมันตะวันออก ส่วนด้านหลังกำแพงเป็นริมแม่น้ำชุเปร ที่มองเห็นวิวสวยฝั่งตะวันตกได้ส่วนมากกำแพงฝั่งนี้จะเป็นข้อความเกี่ยวกับสันติภาพและภาพกราฟิตี้จากผู้มาเยือนทั่วไปที่ขอฝากความรู้สึกเอาไว้บนสถานที่ประวัติศาสตร์นี้
หากสังเกตดีๆ ในส่วนที่เคยมีกำแพงเบอร์ลินตั้งตัดผ่านมาก่อนบางที่จะยังพอมีรอยของบล็อกอิฐกำแพงเบอร์ลินในยุคแรกแทรกอยู่ในคอนกรีตสมัยใหม่เป็นเส้นยาวแสดงถึงการเคยมีอยู่ของกำแพง ณ ทีนั้นๆ แม้เรื่องราวของกำแพงนี้จะไม่ดีนัก แต่ก็ไม่มีใครอยากลืมไปจากใจเพราะร่องรอยเหล่านี้คือเครื่องเตือนใจถึงความแบ่งแยก ไร้เสรีภาพ ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นที่ไหนอีก
…………………………………..
Where to Stay

Andel’s By Vienna House Berlin แม้อยู่ต่างถิ่นแต่โรงแรมในเครือเวียนนา เฮ้าส์ ก็ให้เซอร์วิสมายด์อย่างอบอุ่น ตามสไตล์เจ้าของคนไทยโดยกลุ่มยู ซิตี้ ถึงจะท่องเที่ยวทั้งวันไม่ค่อยมีเวลาในโรงแรมมากนัก แต่พนักงานจะทำให้เราอมยิ้มได้ทุกครั้งที่กลับมาในห้อง ด้วยความสะอาด เซ็ตขนมหวานก่อนนอน และโน้ตสั้นๆ เพื่ออวยพรหรือแนะนำทริคเล็กๆ ให้หลับสนิท
ที่นี่อยู่ห่าง 2 กิโลเมตร จากใจกลางเมือง ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนจากป้ายรถราง Landsberger Allee ตัดกับ ถนน Storkower และห่างจากสถานีรถไฟ 200 ม. ที่มีรถไฟจากสถานีนี้ไปสนามบิน Schönefeld Airport โดยใช้เวลาเดินทางเพียง 30 นาที รอบโรงแรมเงียบสงบ มีซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านขานยเครื่องสำอางดรักสโตร์อยู่ฝั่งตรงข้าม เรียกว่าเป็นทำเลที่เดินทางง่ายและ มั่นใจได้ว่าจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

ใกล้กันยังมีโรงแรม Vienna House Easy Berlin ขนาดย่อม ตกแต่งด้วยสีสัดสดในวัยรุ่น เหมาะสำหรับเหล่าแบคแพ็คกอร์ ห้องไม่เล็กจนอึดอัดและยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเช่นเดิม