เรียกว่าเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ในวงการแฟชั่นเมืองไทย สำหรับงานเปิดแฟล็กชิปสโตร์โฉมใหม่ของ Gucci THE EMPORIUM หลังการปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว บนพื้นที่ 408 ตารางเมตร พรั่งพร้อมด้วยสินค้าที่ได้รับการคัดสรรมาเพื่อสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี รวมถึงเสื้อผ้าสำเร็จรูป (ready-to-wear) กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับและแอคเซสเซอรี และสินค้าตกแต่งบ้าน Gucci Décor มากมาย


และการกลับมาเปิดให้บริการในครั้งนี้ Gucci THE EMPORIUM มาในรูปลักษณ์ใหม่ที่เชื้อเชิญและให้ความรู้สึกอันอบอุ่นและผ่อนคลาย ด้วยงานออกแบบและการตกแต่งภายในอันแสนประณีต ผนังด้านนอกร้านให้ความรู้สึกที่หรูหราตกแต่งหินอ่อนอิตาลีในหลากหลายลวดลายและสีสัน ไม่ว่าจะเป็นหินอ่อนเบลเยียมแบล็ค (Belgium Black), รอสโซ นโปเลียน (Rosso Napoleon), โรซา เดล การ์ดา (Rosa del Garda) และกาลากัตตา โอโร (Calacatta Oro) ที่นำมาตกแต่งในดีไซน์ที่ผสมผสานความสง่างามให้กลมกลืนกับสิ่งรอบตัวและขับให้งานตกแต่งด้านในร้านโดดเด่นยิ่งขึ้น


นอกจากความหรูหราในสไตล์สมัยใหม่ที่มาจากวัสดุที่งดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว ยังมีความน่าสนใจในการเลือกใช้พื้นที่อย่างลงตัว เรียกได้ว่า ร้าน Gucci แห่งนี้เป็นส่วนผสมของแบบดั้งเดิมและความทันสมัย สอดคล้องกับแนวปรัชญาของความสง่างามและความทันสมัยอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของ Gucci และยังนับว่าเป็นคอนเซ็ปต์ที่เสริมให้ผลิตภัณฑ์ดูโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วย

บรรยากาศภายในร้านจะเน้นความสวยงามประณีต แต่มีลูกเล่นและความน่าตื่นเต้นด้วยวัสดุต่างๆ ที่เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็น ลวดลายเรขาคณิตบนพื้นนั้น ให้ความรู้สึกมีมิติไม่น่าเบื่อ และลงตัวเป็นอย่างดีกับพื้นไม้ปาร์เก้ที่เพ้นต์ด้วยมือ ความขัดแย้งของสิ่งที่ตรงกันข้ามกัน แต่กลับเชื่อมต่อถึงกันได้นี้ยังเห็นได้จากในส่วนอื่นๆ เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นส่วนดิสเพลย์และชั้นโชว์สินค้าทองเหลืองขัดเงาที่ตัดกับงานตกแต่งด้วยผ้าซาตินสีทองเข้ม โต๊ะกลมที่วางไว้ข้างโต๊ะสี่เหลี่ยม โซฟาและเก้าอี้นวมบุกำมะหยี่สีน้ำทะเลดูหรูหรา รวมถึงพรมวินเทจสไตล์ตะวันออกที่วางซ้อนกันเพื่อเพิ่มลูกเล่น





(ณครา -ณิชาภา อินทเสนี)
นอกจากนี้ในร้านยังจัดให้มีพื้นที่สำหรับเสื้อผ้า ready-to-wear โดยเฉพาะ ซึ่งมุมดังกล่าวถูกโอบล้อมอยู่ภายในอ้อมกอดแห่งทัศนียภาพอันงดงามของสวนเบญจสิริ จึงช่วยให้โซนนี้เต็มไปด้วยเสน่ห์อันน่าประทับใจอย่างคาดไม่ถึงและเป็นบรรยากาศเฉพาะตัวของ Gucci อย่างแท้จริง
และในงานแกรนด์โอเพนนิ่งอย่างเป็นทางการเมื่อค่ำวันก่อน ยังได้นำผลงานชิ้นเอ็กซ์คลูซีฟ จาก archive ส่งตรงจากประเทศอิตาลีมาจัดแสดงให้ได้ชมแบบใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าสไตล์วินเทจคลาสสิค Jackie and Bamboo ที่ได้รับการออกแบบใหม่โดยผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ Gucci ภายใต้มิติร่วมสมัย ตลอดจนชิ้นอื่นๆ อีกมากมายจากคอลเล็กชั่นใหม่ล่าสุดของอเลสซานโดร มิเคเล (Alessandro Michele)

อีกทั้งผ้าพันคอไหมเนื้อนุ่มแสนประณีตตกแต่งด้วยลายพิมพ์อันเป็นเอกลักษณ์ของ Gucci ที่จะมาอวดความงามพร้อมกับของชิ้นอื่นๆ ที่ใช้ในการเดินทางจากทศวรรษ 60 และ 70 อาทิเช่น กระเป๋าเดินทาง กระเป๋าใส่เครื่องสำอาง และกระเป๋าเดินทางแบบสะพาย เป็นต้น
พร้อมกันนี้ยังได้เชิญเหล่าแฟชั่นนิสต้าเดินไปตามแคตวอล์กขนาดย่อม ที่ตกแต่งด้วยซุ้มโค้งประดับไฟ ซึ่งส่องนำทางเข้าสู่พื้นที่จัดแสดงงานด้านในร้าน ท่ามกลางลวดลายพรรณไม้ผลิบานที่ตัดกับพื้นสีทึบ ร่วมกับการตกแต่งทางเดินและแท่นจัดแสดงที่จะทำให้กุซซี่เลิฟเวอร์ดื่มด่ำกับบรรยากาศได้อย่างเต็มที่

ขณะเดียวด้วยความมุ่งมั่นของ Gucci ในการส่งเสริมแนวคิดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีประหยัดพลังงานใน Gucci สโตร์ทั่วโลก แฟล็กชิปสโตร์ Gucci โฉมใหม่แห่งนี้จึงได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED (ความเป็นผู้นำด้านการออกแบบที่อนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม) รวมทั้งยังใช้ไฟ LED และติดตั้งระบบ Building Management System (BMS) เพื่อช่วยในการคอยติดตามและส่งเสริมประสิทธิภาพในการใช้พลังงานอีกด้วย
เกี่ยวกับ GUCCI
Gucci ก่อตั้งเมื่อปี 1921 ที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลีปัจจุบันเป็นหนึ่งในแบรนด์สินค้าหรูหราชั้นนำของโลก ในโอกาสครบร้อยปีของการก่อตั้ง ภายใต้การนำของครีเอทีฟ ไดเรกเตอร์ อเลสซานโดร มิเคเล พร้อมด้วยประธานบริษัทและซีอีโอ มาร์โค บิซซาร์รี Gucci มุ่งหน้าเข้าสู่หนึ่งร้อยปีข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นที่จะกำหนดนิยามใหม่ของคำว่าหรูหรา พร้อมๆ ไปกับเฉลิมฉลองความคิดสร้างสรรค์ ฝีมืองานช่างอิตาลี และนวัตกรรม อันเป็นค่านิยมหลักของแบรนด์นั่นเอง
Gucci เป็นส่วนหนึ่งของ Kering กลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าหรูระดับโลกซึ่งเป็นผู้บริหารการพัฒนาของแบรนด์ชื่อดังในด้านแฟชั่น สินค้าเครื่องหนัง จิลเวลรี่ และนาฬิกา
พบกับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Gucci ได้ที่ www.gucci.com